Tuesday, January 30, 2007

[44] เตรียมตัวสอบโทเฟล

- - - เพิ่ม 7 กย 50 - -
ผมอยากจะแนะนำเว็บข้างล่างนี้เพิ่มเติมเป็นพิเศษ เขามีทั้ง Structure, Listening, และ Reading ให้ท่านลองทำเหมือนได้ทำข้อสอบจริง ๆ แบบ computer based TOEFL® exam เพราะเดี๋ยวนี้การสอบ TOEFL เขาใช้สอบกับคอมพิวเตอร์ทั้งนั้น
http://www.free-english.com/TOEFL-CBT-practice-test.aspx (ต้องสมัครเป็นสมาชิกก่อน)


= = =
สวัสดีครับ
ท่านที่เตรียมตัวจะไปสอบ TOEFL อาจต้องการฝึกทำข้อสอบไว้ล่วงหน้า หรือท่านข้า
ราชการที่กำลังเตรียมตัวไปสอบทุนไปอบรม/ดูงานต่างประเทศ การเตรียมทำข้อสอบ TOEFL ไว้ล่วงหน้าก็มีประโยชน์ เพราะข้อสอบของกรมวิเทศสหการ (ชื่อใหม่ ไทก้า) และของ TOEFL นั้นยากพอๆ กันเลย, หากทำของโทเฟลได้ ก็น่าจะทำของไทก้าได้

เว็บข้างล่างนี้ มีข้อสอบโทเฟลมากมายให้ลองหัดทำ มีเฉลย และหลายแห่งมีคำอธิบาย และข้อแนะนำที่ดีด้วย

[1] http://acescores.netfirms.com/TOEFL/toefl.html
ที่คอลัมน์ซ้ายมือใต้คำว่า TOEFL ให้คลิกเลือก Written Expression, Structure, หรือ Read Comprehension (หลังจากนี้ให้คลิกเลือกอีกครั้งที่ ด้านล่างสุดใต้คอลัมน์นี้)

[2] http://www.englishdaily626.com/tfvocab.php คลิกเลือกที่ index A.. B….C… จนถึง Z และหมายเลขบท 002 ถึง 299 ด้านล่าง (เว็บนี้ไม่มีเฉลย)
แต่ถ้าต้องการรู้คำแปลของศัพท์ (โดยเพียงเอาเมาส์ไปวางบนศัพท์) ไปที่นี่ครับ:
http://tinyurl.com/24qfps

[3] http://www.testyourenglish.net/toefl/toefl_practice_tests.html

[4] http://www.examenglish.com/TOEFL/index.php คลิกที่ Structure Test 1 หรือ Structure Test 2

[5] http://www.testmagic.com/toefl/

[6] http://esl.about.com/cs/toefl/

[7] http://www.stuff.co.uk/toefl.htm

[8] http://toeflexam.blogspot.com/

[9] http://www.english-test.net/toefl/

[10] Vocabulary Drills มี 3450 คำ
http://www.saab.org/vocab.cgi

[11] ทดสอบศัพท์ TOEFL มี 870 คำ
http://www.saab.org/vocab_up.cgi?variable=words/tofelshuffled.all

[12] http://www.thaiall.com/quiz/indexo.html#voc

[13] รวมแบบฝึกหัด TOEFL
http://www.bic-englishlearning.com/toefl.html

พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com

Friday, January 26, 2007

[43] ขอให้ฝรั่งพูดทุกอย่างตามที่ท่านบอก ที่เว็บนี้ครับ

สวัสดีครับ
คงจะดีไม่น้อยถ้าเรามีเพื่อนเป็นฝรั่งไว้คอยพูดคุยฝึกภาษาทุกวัน
แต่ถ้าเพื่อนที่ว่านี้หาไม่ได้ ก็ไปที่เว็บข้างล่างนี้แล้วกันครับ พอใช้แก้ขัดถูไถไปได้
http://www.research.att.com/~ttsweb/tts/demo.php

ที่เว็บนี้เราสามารถพิมพ์ข้อความอะไรลงไปก็ได้ แล้วคลิกให้ฝรั่งยนต์พูด
เสียงอาจจะไม่เป็นธรรมชาติเหมือนคนเป็นๆ แต่ก็พอใช้ได้ครับ
คือช่วยให้เราฝึกฟังข้อความที่เราอยากจะฟัง
และถ้าเราพูดตาม ก็ได้ฝึกพูดข้อความที่เราอยากจะพูด

พอเข้าไปที่เว็บนี้แล้วก็ทำอย่างนี้ครับ
Step 1. คลิกเลือกภาษาอังกฤษและฝรั่งยนต์คนที่จะให้พูด
Step 2. พิมพ์หรือ Copy ข้อความมา paste ใส่ลงไป
ห้ามเกิน 300 ตัวอักษรนะครับ ตอนแรกๆ นี่อาจจะลองแค่ 1-2 ประโยคก็พอครับ
Step 3. คลิก SPEAK (ถ้าเน็ตช้าต้องรอหน่อย)

มีเรื่องที่ผมอยากจะแจ้งไว้ก่อน 3 – 4 ข้อ
1. ถ้าเน็ตของท่านช้า เสียงที่ฟังอาจติด ๆ ขัด ๆ
2. ต้องระวังนิดนึงนะครับ อย่าพิมพ์ผิด เพราะฝรั่งยนต์ก็จะอ่านอย่างผิด ๆ เขาซื่อครับ พิมพ์ให้อ่านยังไงก็อ่านอย่างนั้น
3. ถ้าต้องการให้เขาพูดเว้นวรรคตรงไหน ก็ใส่เครื่องหมายคอมม่า , ตรงนั้น
4. เราสามารถพิมพ์คล้าย ๆ คาราโอเกะลงไปได้ เช่น พิมพ์ Pom rak koon ฝรั่งยนต์ก็จะพูดเสียงคล้าย ๆ “ผมรักคุณ” สนุกไปอีกแบบนึงครับ

[24 มีค.50] ขอเพิ่มอีก 1 เว็บครับ
พิมพ์ข้อความ ให้โปรแกรมอ่านออกเสียง ครั้งละไม่เกิน 100 ตัวอักษร (คลิกเลือกเสียงได้)http://www.oddcast.com/home/demos/tts/frameset.php?frame1=talk
InterelaDSD

Wednesday, January 24, 2007

[41] เล่นเกม 20 คำถามกับคอมฯ (ขอเตือน: ระวังติด)

สวัสดีครับ
ผมคิดว่าหลายท่านคงเคยเล่นเกม “20 คำถาม” ที่ให้คนหนึ่งนึกอะไรสักอย่างในใจ และให้คนอื่น ๆ ถามคำถามได้ 20 คำถาม แต่ต้องเป็นคำถามที่ตอบว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” เท่านั้น เมื่อถามครบ 20 คำถามแล้ว ต้องเดาตอบออกไปว่าคืออะไร ? นี่เป็นเกมที่สนุกนะครับ ยิ่งเล่นหลายคนยิ่งสนุกมาก

และวันนี้ผมไปเจอเกม “20 คำถาม” ออนไลน์ หรือ “Twenty Questions” เกมนี้เขาให้เราเล่นกับเครื่อง (ซึ่งฉลาดยังกะคน) โดยเราเป็นคนนึกสิ่งที่เป็นปริศนาไว้ในใจ เครื่องก็จะถามเราไปทีละคำถาม ๆ (เขียนใส่แผ่นกระดาษไว้ดีกว่าครับว่า คำที่นึกคืออะไร? ห้ามโกงเครื่องนะครับ)

ท่านจะคลิกเพื่อเข้าไปเล่นตอนนี้เลยก็ได้ครับ http://y.20q.net/anon?HgD7Qh-2NzktjdXhrZ8xNtNCq4Mg37v!3oxm7Mllv

แต่ผมขออนุญาตแนะนำวิธีเล่นสักนิดนะครับ ผมลองเล่นดูแล้วหลายเกม และก็เป็นอย่างที่เขาเตือนไว้จริง ๆ คือเล่นแล้วติด คลิก วิธีเล่นเกม 20 คำถาม

พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com

[40] ฝึกภาษากับ freeware

สวัสดีครับ
ผมนึกถึงท่านที่อยู่ต่างจังหวัดและต่อเน็ตยาก ถ้าต้องต่อเน็ตทุกครั้งที่จะเรียนภาษาอังกฤษ อาจจะเหนื่อยมาก และไม่อยากต่อ และก็ไม่อยากเรียน

แต่ที่เว็บนี้ http://www.thaiware.com/main/ เขามีโปรแกรมประเภทใช้ฟรี หรือ freeware ให้เราดาวน์โหลดมาลงเครื่องไว้ และสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องต่อเน็ตทุกครั้งๆ ที่นี่ครับ:

1. โปรแกรมช่ายฝึกภาษาอังกฤษ
http://www.thaiware.com/main/search.php?Group_ID=31

2. โปรแกรมประเภทดิกชันนารี
http://www.thaiware.com/main/search.php?Group_ID=123

ท่านลองเข้าไปในเว็บของเขา และเลือกดูนะครับว่า ในหลายๆโปรแกรมที่เขามีไว้ให้นั้น โปรแกรมไหนบ้างที่จะเป็นประโยชน์ต่อท่านหรือบุตรหลานในการฟิตภาษาอังกฤษ

เนื่องจากโปรแกรมเหล่านี้ไม่มีให้เราทดลองเล่น online ฉะนั้น ท่านคงต้องยอมเหนื่อยและเสียเวลาสักนิดในการดาวน์โหลด , ติดตั้ง , และลองใช้งานสักพักจึงจะรู้ว่าดีไม่ดีอย่างไร สมพงศ์กับท่านไหม แต่ผมเชื่อว่า น่าจะมีหลาย ๆ โปรแกรมที่ท่านจะรู้สึกถูกใจมาก - ถูกใจมากกว่า - หรือถูกใจมากที่สุด

ถ้าติดขัดในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการดาวน์โหลด-ติดตั้ง-หรือใช้งาน ก็อย่าเพิ่งท้อ ทนนิดนึงนะครับ

ถ้าชอบใจโปรแกรมใดก็สามารถ save ใส่แผ่น CD หรือ thumb drive เอาไปลงหลายๆเครื่องหรือแจกจ่ายให้เพื่อนฝูงก็ดีครับ
InterelaDSD

[39] เรียนภาษาจากหนังสือพิมพ์

สวัสดีครับ
มีหนังสือพิมพ์ วารสารหรือนิตยสาร เกี่ยวกับประเทศไทย อยู่หลายฉบับทีเดียว ที่ท่านสามารถหาอ่านจากเน็ต ไปที่ลิงค์นี้ครับ : http://www.onlinenewspapers.com/thailand.htm

และในจำนวนนี้ มีที่คนไทยรู้จักดีกว่าเพื่อนอยู่ 2 ฉบับ คือ
1. The Nation : http://www.nationmultimedia.com/
และ 2. Bangkok Post : http://www.bangkokpost.com/

และในจำนวน 2 ฉบับนี้ ถ้าท่านต้องการเรียนภาษาจากหนังสือพิมพ์ ผมแนะนำให้ท่านเอาหนังสือพิมพ์ Bangkok Post เป็นครูครับ

เหตุผลก็เพราะว่า เว็บภาษาอังกฤษในเครือของ Bangkok Post นี้ นอกจากหนังสือพิมพ์ Bangkok Post ซึ่งการใช้ภาษาอังกฤษอยู่ในระดับดีที่เราสามารถลอกเลียนเพื่อเรียนรู้แล้ว ยังมีเว็บเครือข่ายอื่นๆให้เราค่อยๆศึกษาจากง่ายไปยากอีก 3 เว็บครับ ดังนี้

1. เว็บนิตยสาร Student Weekly
A นิตยสาร Student Weekly นี้มีวางขายตามแผงหนังสือราคาเล่มละ 10 บาทถ้าท่านไม่ชอบนั่งหน้าจอนานๆก็สามารถไปซื้อหามาอ่านได้ครับ ผมเองก็ได้อาศัยนิตยสารเล่มนี้ช่วยฟิตภาษาอังกฤษมาก่อนตั้งแต่ประเทศไทยยังไม่มีอินเตอร์เน็ตใช้ ตอนนี้ Student Weekly มีให้เราอ่านทางเน็ต ก็สะดวกขึ้นเยอะทีเดียว

เขาอธิบายตัวเขาเองว่าอย่างนี้ครับ Student Weekly is Thailand’s most popular educational weekly tabloid. It’s filled with many interesting articles, interviews, exercises, and reviews, which have all been simplified for students for easier understandings. (Student Weekly เป็นนิตยสารเพื่อการศึกษารายสัปดาห์ขนาดแทบลอยด์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในเมืองไทยมีเนื้อหาน่าสนใจมากมาย ประกอบด้วย บทความ บทสัมภาษณ์ แบบฝึกหัดและรีวิวต่างๆ โดยเขียนใช้ภาษาง่ายๆให้นักศึกษาเข้าใจไม่ลำบาก)

เมื่อเข้าไปที่เว็บนี้แล้ว ให้ท่านดูที่มุมขวามือ จะพบว่ามีลิงค์ให้ท่านเลือกคลิกศึกษา คือ
Education
Entertainment
Inside Story
Happenings
Wired World
Back issues
SW Forum
ทุกลิงค์มีเรื่องให้อ่าน – เล่น – ทำ ที่ไม่ยากเกินไป และน่าสนใจ ทันสมัย
อ้อ! แจ้งนิดนึงครับ ถ้าท่านไปเจอข้อความ “Ads by Google” หรือ “Advertise on this site” แสดงว่าลิงค์ข้างใต้นี้เป็นโฆษณา ถ้าท่านไม่อยากอ่านโฆษณาก็ไม่ต้องไปคลิกนะครับ

2. เว็บที่ 2 คือ เว็บฝึกภาษาจากข่าว Read Bangkok Post : http://www.readbangkokpost.com/
เว็บนี้เป็นคล้ายๆกับบันไดขั้นแรก สำหรับท่านที่ยังไม่พร้อมที่จะอ่านหนังสือพิมพ์ Bangkok Post โดยตรงก็มาที่เว็บ read Bangkok Post ซะก่อน

ให้ท่านดูที่คอลัมน์ซ้ายมือ ใต้คำว่า Timely content นั้น จะมีการเปลี่ยนเนื้อหาบ่อยๆตามช่วงที่ Bangkok Post นำลงตีพิมพ์ แต่ใต้คำว่า Timeless เนื้อหาจะไม่เปลี่ยนคือจะเป็นข้อแนะนำต่างๆในการศึกษาภาอังกฤษ
จากประสบการณ์ของผมในการปล้ำอ่านภาษาอังกฤษให้รู้เรื่อง ผมว่ามันมีเรื่องยากอยู่ 3 ด่าน ที่ต้องฝ่าไปให้ได้ คือ
ด่านที่ 1 ไม่รู้ศัพท์ เดาไม่ออก เลยต้องเปิดดิกบ่อยๆ
ด่านที่ 2 พอเปิดดิกแล้ว บางทีศัพท์ตัวหนึ่ง มีตั้ง 10 ความหมาย และก็ไม่รู้ว่าความหมายไหน ตรงกับเนื้อเรื่องที่กำลังอ่าน
ด่านที่ 3 เอาละ ถึงแม้ว่าบางทีเลือกความหมายได้ถูกต้องก่อนแล้ว ถ้าเรื่องที่อ่านยากเกินไปหรือไม่คุ้นเคย ก็ยังอ่านไม่รู้เรื่องอยู่นั่นแหละ เหมือนอ่านตำราเศรษฐศาสตร์หรือกฎหมายภาษาไทย ทั้งๆที่มันเป็นภาษาไทยก็ยังอ่านไม่รู้เรื่อง เพราะเนื้อเรื่องมันยาก อ่านแล้วต้องตีความซึ่งตีไม่ค่อยแตก

แต่ที่เว็บ read Bangkok Post นี้ ผมดูแล้วเขาพยายามช่วยคนเรียนภาษาอังกฤษให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เริ่มตั้งแต่เขียนด้วยภาษาอังกฤษที่ไม่ซับซ้อน อธิบายความหมายของศัพท์ยาก (ใช่ครับ อธิบายเป็นภาษาอังกฤษ) หาเนื้อเรื่องที่น่าสนใจไม่ยากแสนเข็ญหรือน่าเบื่อมาให้อ่าน ผมเชื่อว่าลิงค์ read Bangkok Post นี้จะเป็นตัวช่วยให้ท่านผ่านทั้ง 3 ด่านนี้ โดยไม่เหนื่อยมากนัก

3. เว็บ Learning Post : http://bangkokpost.net/education/site.htm
เป็นเว็บสุดท้ายเพื่อการศึกษาภาษาอังกฤษในเครือ Bangkok Post เมื่อเข้าไปแล้วจะพบว่า เขาแบ่งเป็น 4 หัวข้อใหญ่ๆ ให้เราศึกษา คือ
Improving Your English
Teaching Tips
Reading Tips
และ Our other Service

เนื้อหาของเว็บนี้ไม่ได้เปลี่ยนบ่อยๆเหมือนเว็บ Student Weekly และ Read Bangkok Post แต่ก็มีคำแนะนำพื้นฐานที่มีประโยชน์มากๆในการปรับปรุงทักษะภาษาอังกฤษโดยเฉพาะอย่างยิ่งการอ่าน

การเรียนภาษาอังกฤษจากหนังสือพิมพ์นี้ตามความเห็นของผมมีประโยชน์มาก ๆ อย่างน้อย 2 อย่าง คือ
1. ศัพท์ – สำนวนที่ใช้ร่วมสมัย พบบ่อย เราจำเอาไปใช้ได้ทั้งในการฟัง – พูด – อ่าน – เขียน และคุ้มค่ากับเรี่ยวแรงที่ลงทุนจำ เหมือนซื้อเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้านและได้ใช้ทุกวัน ไม่ใช่ปล่อยไว้จนฝุ่นเกาะ
2. เนื้อเรื่องทันสมัย – ทันเหตุการณ์ และมีหลายเรื่องที่ไม่มีให้เราอ่านเป็นภาษาไทย การได้อ่านภาษาอังกฤษอีกภาษาหนึ่งจึงมีประโยชน์มาก ไม่ว่าจะเป็นสาระหรือบันเทิง

รุ่นน้องของผมบางคนบอกว่า ภาษาอังกฤษคือ 'ทรมานบันเทิง' คือ ต้องทนทรมานเสียก่อนจึงจะได้บันเทิงทีหลัง ผมอยากจะเพิ่มเติมสักนิดว่า ในช่วงแรกๆอาจจะทรมานมากแต่บันเทิงน้อย ทว่าต่อไปๆก็จะทรมานน้อยและบันเทิงมากขึ้นเอง ส่วนสาระนั้นมีมากขึ้นทุกวัน ทั้งนี้เพราะภาษาอังกฤษคือสาระและบันเทิงโดยแท้
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com

Tuesday, January 23, 2007

[38] วิธีเขียนใบสมัครขอทุนไป ตปท.

สวัสดีครับ
ก่อนที่ท่านจะอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่อง วิธีเขียนใบสมัครขอรับทุนไปอบรมต่างประเทศนี้ ผมขอเชิญอ่านให้เห็นภาพทั้งหมดก่อน…

ทันทีที่กรมเวียนหนังสือแจ้งให้ผู้สนใจส่งใบสมัครรับทุนอบรมต่างประเทศ หากท่านสนใจอยากจะไปนั่งในชั้นเรียนที่เมืองนอก มีเรื่องที่ท่านต้องทำ 6 ขั้นตอนดังนี้ครับ
1. เขียนแบบฟอร์มชั้นต้นเป็นภาษาไทย (แบบทุน 1) ส่งให้ฝ่ายประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ หรือฝ่ายวิเทศฯ เดิม
2. เข้าห้องสอบและผ่านการสอบภาษาอังกฤษระดับกรม , ระดับกระทรวง และระดับประเทศ (ไปสอบที่กรมวิเทศฯ) ตามลำดับ (กรมวิเทศฯ ชื่อใหม่คือ สำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ หรือเรียกสั้นๆ ว่า TICA ไทก้า)
3. ถ้าสอบไทก้าผ่าน ก็จะต้องเขียนใบสมัครตามแบบฟอร์มการสมัครขอรับทุนเป็นภาษาอังกฤษ ตามที่ประเทศเจ้าของทุนกำหนด
4. ไทก้าส่งใบสมัครนี้ไปให้เจ้าของทุนพิจารณา
5. ถึงตอนนี้ท่านก็รอประเทศเจ้าของทุนตอบมาว่า เขาจะรับหรือไม่รับท่านเข้าอบรม
6. ถ้าเขารับ ท่านก็เตรียมเดินทางได้เลย เช่น ทำหนังสือเดินทาง ขอวีซ่า ร่ำลาเพื่อน – บุตร – ภรรยา - แฟน และนั่งรถไปขึ้นเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิ

เรื่องที่ผมจะคุยกับท่านในวันนี้ เฉพาะข้อ 3 คือ การเขียนใบสมัครเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าท่านจะต้องผ่านข้อ 1 และข้อ 2 มาก่อน ซึ่งผ่านไม่ง่ายนัก โดยเฉพาะข้อ 2
ทำไมการเขียนใบสมัครจึงสำคัญนัก มันสำคัญก็เพราะว่ามันเป็นสิ่งเดียวที่ประเทศเจ้าของทุนเอาไปดูและตัดสินใจว่า จะรับหรือไม่รับท่านเข้าอบรมที่ประเทศของเขา เพราะฉะนั้นท่านจะต้องทำให้ใบสมัครของท่านพูดได้ และต้องพูดได้น่าฟัง จนเขาเคลิ้มและคล้อยตามและเลือกท่านเป็นผู้รับทุนของเขา

แล้วจะเขียนกันยังไงล่ะครับ… ใบสมัครที่ว่านี้?

แต่ละประเทศที่ให้ทุนจะมีแบบฟอร์มใบสมัครไม่เหมือนกันเด๊ะ แต่สาระสำคัญมักไม่ต่างกัน คือ ให้กรอกข้อมูลส่วนตัวทั่วไป งานที่ทำ และถามท่านว่าจะเอาความรู้ที่ได้รับจากการอบรมมาใช้ในอนาคตได้อย่างไร

การที่จะเขียนใบสมัครให้น่าสนใจ ท่านต้องมีข้อมูลบางอย่างตุนไว้ก่อน ถ้าไม่มีต้องไปหามาอ่านก่อนที่ท่านจะลงมือเขียนใบสมัคร น่าจะมีพวกนี้ครับ
1. เอกสารที่ไทก้าส่งมาให้ โดยมากก็จะให้รายละเอียดย่อยๆเกี่ยวกับวิชาในคอสที่จะเรียน
2. ท่านควรเข้าไปที่เว็บไซต์ของหน่วยงานเจ้าของทุน บางทีเขาไม่ได้แจ้งไว้ ท่านต้องหาเอง ในเว็บนี้น่าจะมีสิ่งที่มีประโยชน์ต่อการเขียนใบสมัคร
3. ถามข้อมูลจากไทก้าเกี่ยวกับทุนเดียวกันนี้ที่เคยให้คนไทยในปีก่อนๆ
4. คุยกับคนไทยที่เคยรับทุนนี้มาก่อน อาจจะถามเบอร์โทรศัพท์ได้จากไทก้าหรือสถานทูตของประเทศนั้นที่อยู่ในกรุงเทพก็ได้
ทำไมต้องหาข้อมูลเยอะแยะอย่างนี้ คำตอบก็คือ ถ้าจะทำให้เขาเลือกท่านในใบสมัครของท่าน จะต้องมีสิ่งดึงดูดใจให้เขาเลือก คือสิ่งที่ท่านเขียนในใบสมัครมันตรงกับธงหรือเกณฑ์ที่เขาตั้งไว้ในการคัดเลือกคนจากประเทศอื่นเข้าอบรมฟรีที่ประเทศของเขา

ฉะนั้นข้อมูลจาก 4 แหล่งข้างบน เมื่ออ่านและย่อยเสร็จแล้ว ท่านน่าจะตอบคำถามต่อไปนี้ได้ชัดเจน เช่น
1. แหล่งทุนต้องการผู้สมัครที่มี background หรืออดีตอย่างไร เช่น ประสบการณ์การทำงาน หรือการศึกษาแบบไหน ถ้าเขาต้องการคนจบทางคอมพิวเตอร์ แต่ผู้สมัครเป็นหมอนวดเคยจับเส้นไม่เคยจับเมาส์ ใบสมัครก็คงไม่จับใจเขา
2. เขาต้องการรับคนที่กำลังทำงานในตำแหน่งอะไรไปฝึกอบรมกับเขา ข้อนี้เขาถามปัจจุบัน สิ่งที่เห็นโดยทั่วไปก็คือ คนกรมพัฒน์ จำนวนไม่น้อย ทำงานสายทั่วไป หรือแม้อาจารย์ช่างบางคนก็สอนได้หลายช่าง การเขียนใบสมัครจะต้องไม่ทำให้เขารู้สึกว่าท่านเป็น Jack of all trades, expert of none หรือ รู้แบบเป็ด แต่ควรเขียนเน้นหรือเลือกหยิบมาเขียนให้เห็นว่าลักษณะของงานประจำที่ท่านทำในปัจจุบันมีความสำคัญม๊ากมาก ยิ่งถ้าได้รับการอบรมจากเขาจะยิ่งสามารถทำงานได้ดีเพิ่มขึ้นเป็นทวีตรีคูณ พูดง่ายๆก็คือต้องโยงให้เห็นว่างานที่ท่านทำกับการอบรมที่เขาจัดขึ้นมัน match กันยังกะกิ่งทองใบหยก ถ้าเขาจะเลือกคนไปอบรม ท่านนี่แหละคนนี้ใช่เลย การที่ท่านจะเขียนยังงี้ได้ท่านต้องไปอ่านรายวิชาของเขา และเขียนให้มันดึงและดูดใจ นี่ผมไม่ได้แนะให้ท่านแต่งนิยายตอนเขียนใบสมัครนะครับ ผมเพียงแต่บอกว่า ต้องหยิบแง่มุมที่เขาสนใจจะอ่านมาเขียน ไม่ใช่หยิบเรื่องที่ท่านสนใจจะเขียนมาให้เขาอ่าน
3. ประเด็นสุดท้ายที่จะต้องเขียนเป็นเรื่องอนาคต ในสมัครของทุกประเทศจะให้กรอกว่าเมื่อจบการอบรมแล้ว ท่านจะเอาความรู้ความชำนาญที่ได้รับไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง บางประเทศถามถึงขั้นว่า ท่านจะยังคงทำงานเดิมหรือเปล่า หรือจะได้รับการ promoteให้มีตำแหน่งสูงขึ้น อันนี้ก็ต้องกรอกไปตามความเป็นจริง ปนยกยอ ปนมองโลกในแง่ดีว่า การอบรมของเขามีประโยชน์แน่ๆและมากๆ ท่านอาจจะต้องกลับไปอ่านข้อมูลที่หาไว้แล้ววิเคราะห์ว่า ใครคือคนกลุ่มแรก หรือ first priority ที่เขาจะให้ทุน เช่น เป็นผู้บริหารระดับกลาง เป็นผู้ทำงานจริงในสนาม เป็นนักวิชาการหรือเป็นใครกันแน่ ตัวท่านเองอาจจะเป็นทีเดียวได้หลายอย่าง แต่ก็ต้องเขียนให้เขาเห็นว่าท่านเป็นอย่างที่เขาต้องการด้วย

เอาละครับหลังจากที่ท่านเขียนใบสมัครได้เนื้อหาครบถ้วน สมบูรณ์ถูกต้อง และชวนหลงใหลเรียบร้อยแล้ว ยังส่งไม่ได้ครับ เพราะอาจจะตายน้ำตื้น ให้ท่านเช็คครั้งสุดท้ายว่า ใบสมัครที่เนื้อหาสมบูรณ์นี้ รูปแบบ เนี๊ยบพอหรือยัง เช่น การจัดย่อหน้า การใช้ฟอนต์ spelling ความถูกต้องของไวยากรณ์ หมึกและกระดาษที่ใช้พิมพ์ ถ้าเขามิได้บังคับให้ใช้กระดาษแบบฟอร์มของเขาท่านสามารถเอาแบบฟอร์มมาพิมพ์เองให้ดูดีขึ้นก็ทำได้ครับ

ท่านที่เคารพครับ ผมเขียนถึงบรรทัดนี้ก็ยังคงมีความรู้สึกอย่างหนึ่งเหมือนเมื่อตอนลงมือเขียนบรรทัดแรก คือ การเขียนใบสมัครเป็นภาษาอังกฤษขอรับทุนไปต่างประเทศนี้ ถึงแม้จะดูยุ่งแต่ก็ไม่ยาก เรื่องที่ยากกว่าคือสอบภาษาอังกฤษผ่านเข้าไปจนถึงรอบสุดท้าย และได้รับการเสนอจากไทก้าเป็นตัวแทนประเทศไทยส่งใบสมัครให้ประเทศเจ้าของทุนพิจารณา ขั้นตอนการสอบภาษาอังกฤษนี้ยากกว่าเยอะ ส่วนการเขียนใบสมัครเป็นภาษาอังกฤษตามแบบฟอร์มของเขา แม้จะต้องพิถีพิถันอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง ฉะนั้นการฟิตภาษาอังกฤษไว้เนืองๆ เพื่อติดอาวุธให้ตัวเองก่อนเข้าสนามสอบซึ่งไม่ต่างจากสนามรบ จึงเป็นการบ้านที่ควรทำทุกวัน

ผมหวังเอามากๆว่าเว็บที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ คือ http://www.intereladsd.blogspot.com
จะมีส่วนให้ท่านสอบภาษาอังกฤษผ่าน และได้บินไปอบรมที่เมืองนอก และเก็บเกี่ยวความรู้กลับมาบ้านได้สมใจนึก
InterelaDSD

Friday, January 19, 2007

[37] เมื่อท่านถูกสั่งให้เป็นล่าม

สวัสดีครับ
กรมพัฒน์ของเราทุกวันนี้โกอินเตอร์มากขึ้น มีคนต่างชาติเข้ามาติดต่อมากขึ้น ทั้งในฐานะผู้ให้และผู้รับ โดยทั่วไปเขามักจะพูดภาษาอังกฤษ และมักต้องมีล่ามเมื่อมีการประชุม การ present ข้อมูล การนำชมสถานที่หรือหรือ site visit และถ้าท่านต้องเป็นล่าม ซึ่งในพจนานุกรมแปลว่า “ผู้แปลคำพูดจากภาษาหนึ่งเป็นอีกภาษาหนึ่งโดยทันที” ท่านจะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ทำไมต้องเตรียมตัว ถ้าพูดในแง่บวกก็ต้องบอกว่า จะได้สามาถแปลได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน สร้างความพอใจให้แก่ผู้อำนวยการที่สั่งงาน และตัวท่านที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ล่าม แต่ถ้าพูดในแง่ลบก็ต้องบอกว่า เตรียมตัวเพื่อให้แปลผิดหรือแปลตกหล่นน้อยที่สุด ผู้อำนวยการไม่หงุดหงิดและตัวท่านไม่กังวลเมื่อถูกสั่งให้เป็นล่าม

ถ้าท่านโชคดี ท่านอาจมีโอกาสเตรียมตัวมากๆ ในการเป็นล่าม แต่บางทีโชคร้ายแทบไม่มีโอกาสเตรียมตัวเลย เอาเป็นว่าถ้าท่านมีเวลาเตรียมตัวก็น่าจะทำดังต่อไปนี้

1. ศึกษาภาษาที่ต้องใช้ในการแปล
เอาเอกสารทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยที่ผู้เยือนและผู้เหย้าจะพูดมาศึกษาล่วงหน้า และนึกในใจหรือโน้ตในกระดาษว่าคำ-วลี-หรือประโยค ซึ่งอาจจะมีความหมายจำเพาะพวกนี้ อีกภาษาหนึ่งพูดว่าอย่างไร

ถ้าผู้เยือนมิได้ส่งเอกสารใดๆ มาให้เราศึกษาล่วงหน้า อาจจะอีเมลขอให้เขาส่งมาให้ เขามักจะให้ถ้าเขามีหรือเตรียมไว้แล้ว ในกรณีที่ต้องแปลสุนทรจน์หรือ speech ไม่ว่าจะเป็นภาษาไทยหรืออังกฤษ เราสามารถแปลไว้ก่อนได้เลยครับ

2. ศึกษาเรื่องที่ต้องแปล
ถ้าเราไม่มีความรู้พื้นฐาน หรือมีแต่น้อยเกินไปในเรื่องที่ต้องเป็นล่าม โอกาสที่จะแปลผิดๆ ถูกๆ ตกๆ หล่นๆ มีมากทีเดียว เพราะบ่อยครั้งที่ผู้เยือนหรือผู้อำนวยการเจ้าของบ้านพูดขาดวลีสำคัญ หรือละไว้ในฐาน(ที่ตนเองคนเดียว) เข้าใจ แต่คนฟังอีกชาติหนึ่งไม่ได้เข้าใจด้วย ล่ามก็อาจจะต้องแปลเติมเข้าไปนิดหน่อยให้รู้เรื่อง ล่ามไม่มีทางทำอย่างนี้ได้หรอกครับ ถ้าเป็นคนนอกไม่เข้าใจเรื่องที่เขาพูดมาก่อน

3. อาจต้องเตี๊ยมกับผู้พูดชาวต่างชาติ
เนื่องจากเราไม่ใช่ล่ามอาชีพ และภาษาอังกฤษอาจไม่แข็งแรง อาจต้องคุยกับเขาว่า เขาจะพูดอะไร เรียงลำดับอย่างไร เราจะแปลทีละประโยค หรือทีละย่อหน้า อาจจะขอให้เขาพูดช้านิดนึง.. บอกเขาว่าสิ่งที่เขาพูดสำคัญมาก เราจึงไม่ต้องการแปลผิดแม้แต่คำเดียว เท่าที่ผมเคยเป็นล่ามพบว่าคนต่างชาติที่มาเยือนกรมฯ มีทั้งมือเก่าและมือใหม่ ถ้าเป็นมือเก่าเขาจะรู้ว่าจะพูดอย่างไรให้ล่ามแปลง่าย แม้แต่ปรับสำเนียงของเขาไม่ให้ออกแขกหรือออกจิงโจ้มากนัก ถ้ามาจากอินเดียหรือออสเตรเลีย แต่ถ้าเป็นผู้เยือนมือใหม่ ล่ามอาจจะปวดหัวมาก ปวดหัวมากกว่า จนถึงปวดหัวมากที่สุด

4. หาเวลาคุยกันนิดหน่อยถ้ามีเวลา
นี่ผมเอาประสบการณ์ตัวเองมาพูดเพราะเคยทำผิดๆ พลาดๆ มาเยอะแล้ว การได้คุยกันบ้างทำให้เราคุ้นเคยกับ accent ของเขา ก็จะไม่รู้สึกเดินบนทางที่ทุรกันดารมากนัก เมื่อต้องเป็นล่ามตามเขา

5. เตรียม Dictionary
เตรียม Dictionary ไว้ใกล้ตัวให้สามารถหยิบใช้ได้ทันท่วงที ไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไรที่ล่ามต้องเปิด Dict. หากเป็นคำที่สำคัญ และห้ามแปลผิดเด็ดขาด ผมเคยเห็นล่ามเยอรมันในเวทีการแข่งขันฝีมือแรงงานนานาชาติ หรือ WorldSkills พก Dict. ติดตัวเป็นประจำทุกครั้งที่แข่งขัน ทั้งๆ ที่เขาก็แปลคล่องมาก แต่ก็ไม่เคยขาด Dict.

มีเรื่องหนึ่งที่ต้องระวังขณะทำหน้าที่ล่าม คือถ้ารู้ตัวไม่แน่ใจในคำศัพท์หรือเนื้อหาที่แปล อย่าดำน้ำแปลไปอย่างเนียนๆ หรือแปลมั่วอย่างกลมกลืน หลายครั้งที่เราอาจจะรู้ศัพท์ แต่เนื้อหาที่คุยกันมัน complicated หรือค่อนข้างซับซ้อนสับสน จนไม่แน่ใจว่ามันคืออะไรกันแน่ เราสามารถหยุดเพื่อถามคนพูดว่าประโยคนี้คุณหมายความว่ายังไง บ่อยครั้งตัวเราในฐานะล่ามสามารถหาคำไทยมาเทียบคำอังกฤษ แล้วแปลออกไปทำนองแปลคำต่อคำ แต่พอเป็นภาษาไทยแล้วความหมายมันไปคนละทางกับที่คนพูดต้องการสื่อ การหยุดเพื่อถามไม่ถือว่าผิดครับ

ล่ามอาจจะไม่ต้องแปลทุกคำ แต่ล่ามต้องแปลเก็บใจความให้ครบ ล่ามอาจจะต้องยก ศัพท์-วลี-หรือประโยคเด่นๆ ของผู้พูดมาแปลคำต่อคำ สมุดโน้ตที่เหมาะมือจึงขาดไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าต้องเดินไป-แปลไป เช่นตอนพาชาวต่างชาติชม workshop ต่างๆ

สำหรับเพื่อนข้าราชการที่อยู่ตามกอง สถาบัน หรือศูนย์ต่างๆ ที่ถูก (ได้รับการ) มอบหมายให้เป็นล่าม ผมว่าเป็นโอกาสดีนะครับที่จะได้ทำงานนี้ การเป็นล่ามทำให้เราต้องใช้ทักษะครบเครื่องคือ ฟัง-พูด-อ่าน-เขียน ถือว่าเป็นโอกาสทองทีเดียวครับ
InterelaDSD

[36] แบบฟอร์มแปลเอกสารทะเบียนราษฎร์

สวัสดีครับ
ไม่ทราบว่าท่านเคยถูกไหว้วานให้แปลเอกสารของทางราชการ เช่นใบเกิด ใบเปลี่ยนชื่อ, ทะเบียนบ้าน, ใบทะเบียนสมรส, หนังสือมอบอำนาจ หรืออะไรทำนองนี้บ้างไหมครับ ผมเคยถูกวาน และก็แปลให้เขา ทั้ง ๆ ที่ไม่ค่อยจะแน่ใจว่ามันถูกต้องอย่างเป็นทางการหรือเปล่า, ผมพยายามหาว่า หน่วยราชการไหนบ้างนะที่มีบริการแปลแบบฟอร์มเอกสารพวกนี้ให้ฟรี ๆ, หาอยู่หลายวันทีเดียวครับ วันนี้เจอแล้ว ข้างล่างนี้ครับ http://www.mfa.go.th/web/804.php
http://www.thaichicago.net/clate/appform.html
คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ควรทราบและใช้ในการแปลอยู่เสมอ

นอกจากช่วยในการแปลเอกสารราชการแล้ว แม้ท่านไม่มีธุระในการแปลเอกสารให้ใคร เพียงเข้าไปศึกษาเล่น ๆ ก็มีประโยชน์ครับ

พิพัฒน์

GemTriple@gmail.com

[35] “ความฝันอันสูงสุด” The Impossible Dream

สวัสดีครับ
ผมเองไม่มีความรู้เกี่ยวกับโคลงกลอนภาษาอังกฤษแม้แต่นิดเดียว แต่เมื่อได้อ่านเนื้อเพลงภาษาอังกฤษของเพลง “ความฝันอันสูงสุด” The Impossible Dream ก็เกิดความรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาในใจ อยากให้ท่านผู้อ่านได้ชื่นชมความงดงามของบทเพลงนี้ด้วยเช่นกัน ขอเชิญครับ

1. อ่านความเป็นมาของเพลง เนื้อเพลงภาษาไทย และเนื้อเพลงเป็นภาษาอังกฤษ: http://tinyurl.com/2kvyj7
2. คลิกเพื่อฟังเพลง: http://tinyurl.com/2oy5lr
3. คลิกเพื่อฟังหรือ save เพลงเก็บไว้ฟัง: http://tinyurl.com/2wsvf4
4 คลิกเพื่อฟังเพลง ร้องโดย สันติ ลุ่นเผ่: http://www.uthaisak.net/hidream.htm
InterelaDSD

Thursday, January 18, 2007

[34] ดูหนังการ์ตูนและฝึกภาษา จากเน็ต

สวัสดีครับ
ที่เว็บนี้ http://www.jimmyr.com/blog/Free_Cartoons_Online_6_2007.php มีหนังการ์ตูนให้เราดูเยอะแยะ ภาพสวย เนื้อเรื่องสนุก สำเนียงชัด ลองเลือกชมเอาเองนะครับ
[หมายหตุ 8 สค 52: วันนี้ผมเช็คดูและพบว่าลิงค์ข้างบนตาย ผมคงแก้ไขอะไรไม่ได้ถ้าปัญหาเกิดจากเว็บ]

ถ้าฟังเที่ยวแรกไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็ฟังหลายๆ เที่ยวซีครับ ถ้าครั้งแรกไม่รู้สำนวน แต่ก็จะได้สำเนียง คุ้นกับสำเนียงมากๆ เข้า เดี๋ยวก็เข้าใจสำนวนเองแหละครับ

ถ้าท่านสามารถฟังจากเครื่องคอมพิวเตอร์โดยใช้หูฟัง ก็อาจจะช่วยให้จับสำเนียง และ สำนวนได้ง่ายขึ้น

หมายเหตุ : ถ้าเน็ตช้าอาจดูได้แบบติดๆ ขัดๆ ต้องทำใจหน่อย แต่ถ้ายอมตัดใจติด internet แบบ high speed ถือซะว่าเป็นการลงทุนเพื่อการศึกษาและพัฒนาภาษาอังกฤษของตนเองและลูกหลาน ก็น่าคุ้มค่านะครับ
InterelaDSD

[33] อ่าน นสพ.-ฟังวิทยุ-ดูทีวี ทั่วโลกจากเน็ต

เพิ่ม 12 ธันวาคม 2553
หนังสือพิมพ์ภาษาอังฤษในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
http://www.newspapers24.com/countries/index.html
http://www.newspapers24.com/languages/english-newspapers/index.html

จีน http://www.chinadaily.com.cn/
อินเดีย http://timesofindia.indiatimes.com/
สหรัฐฯ http://www.washingtonpost.com/
อังกฤษ http://www.independent.co.uk/
ญี่ปุ่น http://www.yomiuri.co.jp/dy/

สวัสดีครับ
มีการสำรวจความคิดเห็นคนอเมริกัน เมื่อไม่นานมานี้ เขาโหวตให้อินเตอร์เน็ตเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ถ้าเขามาถามผม ผมก็จะโหวตให้เช่นเดียวกัน ก็ไม่น่ามหัศจรรย์หรอกหรือครับ เพียงแค่คุณนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ต่ออินเตอร์เน็ต คุณก็สามารถอ่านหนังสือพิมพ์ ฟังวิทยุ และดูทีวีภาคภาษาอังกฤษของทุกประเทศในโลกนี้ ถ้าไม่เชื่อก็เชิญเข้าไปที่เว็บข้างล่างนี้ เพื่อพิสูจน์ด้วยตนเองได้เลยครับ
1. อ่านหนังสือพิมพ์ของทุกประเทศทั่วโลก
http://www.thepaperboy.com/
http://www.onlinenewspapers.com/
http://www.refdesk.com/paper.html
http://www.ipl.org/div/news/
http://www.world-newspapers.com/

2. ฟังวิทยุของทุกประเทศทั่วโลก
http://www.radio-locator.com/
http://www.live-radio.net/worldwide.shtml
http://broadcast-live.com/

3. ดูทีวีของทุกประเทศทั่วโลก
http://wwitv.com/television/index.html
http://www.webtvlist.com/
http://www.internettvlist.com/

หมายเหตุ :
1. ถ้าเน็ตของท่านมิใช่ high speed อาจมีปัญหาในการฟังวิทยุและดูทีวี ส่วนเว็บจากประเทศต้นทางรู้สึกว่าจากประเทศสหรัฐอเมริการับฟังและชมได้สะดวกที่สุด
2. ถ้าชอบใจหนังสือพิมพ์ฉบับไหน วิทยุและทีวีช่องใด ทำ Favorite ไว้เลยครับ จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาหาอีก
InterelaDSD

Tuesday, January 16, 2007

[32] เรียนภาษา... ผ่านเพลง...

สวัสดีครับ
จนถึงบัดนี้ผมยังไม่ได้แนะนำเว็บอะไรเลยเกี่ยวกับการศึกษาภาษาอังกฤษผ่านเพลง วันนี้ได้โอกาสดีจึงขอเสนอเลยครับ

1. ที่เว็บนี้ คลิกที่เพลงสากล เพลงไทย บทกลอน ที่คอลัมน์ซ้ายมือ มีเพลงให้ฟัง เนื้อเพลงให้อ่าน หลายเพลงมีคำแปลให้ด้วย(แปลถูกหรือผิดดูเอาเองครับ)
http://www.educatepark.com/english/index.php

2.
เรียนภาษาอังกฤษจากเพลง มีคำแปลให้อ่านด้วย
http://www.geocities.com/is42c108/indexT.html
http://www.geocities.com/is42c108/lyricT01.html

3. http://www.ethaimusic.com/ เว็บนี้แปลเพลงไทยเป็นภาษาอังกฤษครับ, คลิกเลือกตรง “เลือกเพลงที่ต้องการ”… นั่นแหละครับ

4. เว็บนี้มีเพลงให้ฟัง – อ่าน มีแบบฝึกหัดให้ทำ & เฉลย (ที่ด้านล่าง ให้คลิกที่ Other singers and songs) คุณภาพค่อนข้างดีครับ เพราะเป็นของ BBC
http://www.bbc.co.uk/worldservice/learningenglish/music/singersong/index.shtml

5. มีเนื้อเพลงให้เราศึกษาและหาความสำราญ
http://www.lyricsbox.com/index.html
http://www.absolutelyric.com/

6. เพลงชาติประเทศต่าง ๆ (ได้รู้ความหมายเพลงชาติของเขาเป็นเรื่องน่าสนใจนะครับ) http://www.geocities.com/olusegunyayi/ อ่านคำแปลของเพลงแต่ละชาติ เป็นภาษาอังกฤษ http://www.national-anthems.net/ ฟังเพลงชาติของประเทศต่าง ๆ

7. http://www.bkkonline.com/song/
(คลิกชื่อเพลงที่คอลัมน์ซ้ายมือ และคลิก “ เพลงที่ผ่านมา” ที่บรรทัดล่าง)
(homepage นี้ดีทีเดียว น่าดูให้ทั่วๆ: http://www.bkkonline.com/ )

8. http://www.englishdaily626.com/songs.php
ถ้าจะฟังเพลงให้คลิกที่ Listening to the song ฟังเสร็จแล้วคลิก Next
(นอกจากเพลงแล้ว ในเว็บนี้อื่นๆก็น่าสนใจครับ: http://www.englishdaily626.com/ )

ส่วน 3 เว็บล่างนี้ส่วนใหญ่เป็นเพลงไทยครับ
http://radio.sanook.com/
http://www.365jukebox.com/
http://music.kapook.com/
InterelaDSD

[31] บอกศัพท์ ทุกเว็บ ทุกคำ แค่วางเมาส์ (จากไทย เป็นอังกฤษ)

สวัสดีครับ
ที่เว็บนี้ http://www.thai2english.com/
เขามีบริการ แปลศัพท์จากภาษาไทยเป็นอังกฤษ จะแปลทีละคำ ทีละหลายย่อหน้า หรือทั้งหน้าเว็บก็ได้
1. ถ้าต้องการให้แปลศัพท์เป็นคำ ๆ จากไทยเป็นอังกฤษ หรืออังกฤษเป็นไทย ก็เติมคำศัพท์ให้ข้อความนี้ “ Enter a Thai or English word below to look it up in the dictionary” ซึ่งอยู่ที่มุมขวาบน

2. ถ้าท่านมีเอกสาร Word ภาษาไทย และต้องการแปลเป็นภาษาอังกฤษ แต่ขี้เกียจเปิดศัพท์ทีละคำ ๆ จากดิก ท่านก็ copy ข้อความทั้งหมดนั้น เอามา paste ใต้ข้อความนี้ “To get started, type or copy-and-paste Thai text into the box below” แล้วคลิก Submit ด้านล่างซ้ายมือ รอนิดนึง เพียงเท่านี้ เขาก็แปลให้ทุกคำเพียงแค่เอาเมาส์ไปวางที่คำนั้น

3. แต่ถ้าท่านต้องการแปลทั้งหน้าเว็บ ก็แค่ copy URL address ของหน้าเว็บนั้น มา paste ในช่องใต้คำว่า “Alternatively, you can enter the URL of a Thai webpage instead” เช่น ของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ คือ http://www.thairath.co.th/ แล้วคลิก Submit ด้านล่างขวามือ เพียงเท่านี้ เขาก็แปลให้ทุกคำในหน้าเว็บนี้ เพียงแค่เอาเมาส์ไปวางที่คำนั้น

ถือได้ว่าเว็บนี้ เป็น “ตัวช่วย” ในการเรียนภาษาอังกฤษได้เลยครับ
InterelaDSD

Friday, January 12, 2007

[30] เขียนมาเล่าสู่กันฟังครับ

สวัสดีครับ
วันนี้ขอละเว้นกฎเคยชินสักครั้งนึงเถอะครับ ผมอยากจะเล่าเกี่ยวกับเรื่องเฉิ่มๆในการใช้ภาษาอังกฤษของผม เผื่อบางท่านที่มาอ่าน อาจจะมีกำลังใจมากขึ้นในการศึกษาภาษาอังกฤษ

ผมเกิดมาโชคดีที่ชอบอ่านหนังสือ และชอบภาษาอังกฤษ สองความชอบนี้ เป็นเองโดยไม่ต้องมีใครเสี้ยมสอน พอโตขึ้นจึงได้ข้อสรุปว่า ถ้าจะเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ดีและมีความสุข ต้องรักภาษาอังกฤษ เพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งของผม แกมีความเกลียดภาษาอังกฤษเป็นต้นทุน เพราะสมัยเด็กเคยทำข้อสอบ multiple choice ครูเขาให้เติมคำในช่องว่างว่า “I am a ………..”ข้อ A.boy ข้อ B.girl ข้อ C.cat ข้อ D.dog พี่สาวคนนี้ของผม แกเลือกข้อ D และถูกครูอารมณ์ขันจอมโหด เอาข้อสอบของแกไปเฉลยหน้าห้อง แถมยังย้อนถามพี่สมศรี(นามสมมุติ) อีกว่า “สมศรี เธอเป็น a dog หรือไง“ แล้วเพื่อนๆ ก็เฮกันทั้งชั้น ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พี่สมศรีก็ไม่ยอมเผาผีกับภาษาอังกฤษอีกเลย ตอนที่แกมาเล่าให้ผมฟัง แกเป็นสาวแล้ว แต่ผมก็นึกสงสารแกเป็นกำลัง แกถูก”กระทำ“ ให้เกลียดภาษาอังกฤษ ทั้งๆที่ภาษาอังกฤษมีอะไรที่น่ารักอยู่เยอะทีเดียว

สมัยเรียนภาษาในโรงเรียนชั้นประถม ชั้นมัธยม ผมก็ไม่ต่างจากคนรุ่นเดียวกัน พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่ได้เก่งกว่าชาวบ้าน แต่ที่ต่างจากเพื่อนหลายๆคนร่วมห้อง ก็คือ ผมไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษอย่างทุกข์ทรมาน ไม่ว่าผมจะได้เกรด A, B, C หรือ D แถมยังมีความเพลิดเพลินในการเรียนอีกต่างหาก ด้วยความรักดังกล่าว ผมจึงไม่รู้สึกอาย เมื่อใช้ภาษาอังกฤษอย่างผิดๆ บ่อยๆ ผมขอยกเหตุการณ์บางอย่างมาเล่าให้ฟัง ข้างล่างนี้นะครับ

มีครั้งนึง ผมไปสัมมนาที่พัทยา มีหลายชาติเข้าร่วมสัมมนา ผมกำลังมองหาห้องสัมมนาชื่อ Terrace พอเดินไปที่เคาน์เตอร์ ก็พูดชื่อห้องออกไป เขาชี้บอกทางไปทางด้านหนึ่งของชั้นนั้น ผมเดินไปจนสุดทาง พบห้องๆหนึ่ง หน้าห้องเขียนได้ด้วยภาษาอังกฤษว่า Toilet ผมคิดในใจว่า “เอาวะ ไหนๆก็มาถึงแล้ว” ก็เลยเข้าไปทำธุระใน Toilet เสียหนึ่งครั้ง ขณะที่นั่งก็นึกรำพึงในใจว่า การออกเสียงภาษาอังกฤษของเรานี่ มันแย่ขนาดนี้เชียวรึ

ชีวิตการงานบังคับให้ผมต้องใช้ภาษาอังกฤษ ทั้งๆที่ทักษะภาษาอังกฤษก็อย่างงั้นๆแหละครับ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมร่วมเดินทางกับคณะไปแข่งขันฝีมือแรงงานเยาวชนที่ประเทศแคนาดา เขาใช้ให้ผมไปซื้อดินน้ำมันที่เยาวชนไทยคนหนึ่งต้องเอามาใช้ประกอบการแข่งขันช่างอัญมณี โชคร้ายจริงๆ ย่านที่ผมไปหาซื้อดินน้ำมัน มีแต่คนพูดฝรั่งเศส ผมอธิบายแทบตายด้วยภาษาอังกฤษอันจำกัดที่มีอยู่ กว่าจะทำให้เจ้าของร้านรู้ว่าผมต้องการดินน้ำมัน ซึ่งตอนนั้นผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าภาษาอังกฤษมันเรียกว่าอะไร (ตอนนี้จำได้แล้วว่า มันเรียกว่า plasticine) พูดนานทีเดียวจนเมื่อยมือและเมื่อยปาก แต่ก็สำเร็จครับ โดยเจ้าของร้านตอบว่า “อ๋อ เข้าใจแล้วครับ แต่ร้านเราไม่มีขาย” และเขาก็พยายามบอกให้ผมไปซื้อที่อีกร้านหนึ่งซึ่งต้องเดินไปอีกประมาณ 200 เมตร เมื่อเดินไปถึงร้านที่สองนี้ผมไม่ลำบากแล้วครับ เพราะผมเพียงยื่นแผ่นกระดาษที่เขียนคำว่า plasticine เท่านั้นเอง สำหรับคนตัวเล็ก ๆ อย่างผม การซื้อดินน้ำมันได้สำเร็จครั้งนี้เก็บเอามาเป็นความภูมิใจเงียบ ๆ ได้หลายวันทีเดียว และผมยังได้ข้อสรุปอีกว่า การจะสื่อสารให้สำเร็จ ไม่ใช่ว่าจะต้องใช้ ภาษาที่พูดเปล่งเสียงออกไปทางปากเท่านั้น แต่ทำยังไงก็ได้ ที่ทำให้คนที่เราพูดด้วยรู้เรื่อง

และจริงๆ แล้ว การทำอะไรผิดๆพลาดๆไปบ้าง ก็อาจจะดีเหมือนกัน มีอีกครั้งหนึ่ง ผมไปที่เยอรมัน กำลังมองหาห้องน้ำ พอเดินไปพบก็มีอยู่สองห้องติดกัน ห้องหนึ่งมีป้ายเขียนว่า Herr อีกห้องหนึ่งเขียนว่า Damen ผมนึกในใจตามประสาคนไม่รู้ Herr นี่มันคล้ายๆกับ Her คงจะเป็นห้องน้ำผู้หญิงละมั้ง ส่วน Damen น่าจะเป็นห้องน้ำผู้ชาย เพราะมีคำว่า men ขณะที่ผมกำลังจะเดินเข้าไปใน damen ก็มี woman คนหนึ่งเดินสวนออกมา ผมเลยชะงัก และหลังจากนั้นก็ไม่เคยเข้าห้องน้ำผิดอีกเลยที่เยอรมัน

ไม่ใช้เพียงแค่ผมเท่านั้นครับ ที่ทำอะไรเฉิ่มๆอย่างนี้ เพื่อนของผมหรือคนที่ผมรู้จักหลายคน ก็ทำผิดคล้ายกันนั่นแหละ มีเพื่อนสนิทของผมคนหนึ่ง ไปเยอรมันด้วยกัน หมอนี่เข้าไปที่ร้านแมคโดนัลด์ แต่ก็ไปตั้งนานกว่าจะกลับมา ผมถามว่า ทำไมไปนานนัก เขาตอบว่า พูดกับคนขายไม่รู้เรื่อง พูดตั้งหลายครั้งว่าขอซ้อส ก็ไม่ยอมหยิบซ้อสให้ ดันชี้ไปที่กระปุกเกลือ ผมถามว่า แล้วแกบอกเขาว่ายังไงล่ะ ไหนพูดภาษาอังกฤษให้ฟังซิ ไม่น่าสงสัยเลยครับ เพราะแกออกเสียงคำว่า sauce ฟังเหมือน salt มากกว่า แต่ถึงยังไงผมก็ต้องชมเพื่อนคนนี้ว่า แม้จะพูดผิด แต่ก็ยังได้ซ้อสมากิน ไม่เสียเชิงพี่ไทยที่ลุยไปในต่างแดน

แต่อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยครับ ผมไปเจอฝรั่งคนหนึ่ง อยู่เมืองไทยมาหลายปี แถมจีบสาวไทย จะขอไปอยู่กินที่สหรัฐด้วยซ้ำ เพื่อนๆบอกว่า Mr. Carlton คนนี้พูดภาษาไทยเก่งมาก ฟังรู้เรื่องหมด ผมบอกว่า ขออนุญาตเล่นอะไรด้วยนิดนึงได้ไหม โดยบอกเขาว่า มีภาษาไทยที่ฟังยาก พูดยากอยู่ 3-4 ตัว คือ มวย(ฺBoxing) หมวย(Chinese girl), สวย(beautiful), ซวย( unlucky) แล้วผมก็ให้นาย Carlton แปลภาษาไทย 3-4 ประโยค ต่อไปนี้ สลับไปสลับมา คือ หมวยสวยมาก - หมวยซวยมาก - มวยสวยมาก - และ มวยซวยมาก ถามไป 2-3 ทีเท่านั้นแหละครับ Mr.Carlton ใบ้รับประทานเลยละครับ นี่ขนาดเก่งๆ กำลังจะได้สาวไทยไปเป็นเมียนะ แต่ที่ผมต้องการสรุปจากนิทานเรื่องนี้ก็คือว่า ต่อให้พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็ยังได้เรื่อง ขอให้ขยันพูดหน่อยแล้วกันในกรณีนี้คือ ได้เมีย ฉะนั้น ภาษาอังกฤษก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรนักหนา

การใช้ภาษาผิดๆถูกๆนี้ เกิดกับทุกคนที่เรียนรู้ภาษาของคนอื่น มีอยู่ครั้งนึง ผมนั่งเครื่องการบินไทยจากกรุงเทพฯ ไปโตเกียว เขาจ้างสาวญี่ปุ่นเป็นแอร์โฮสเตส คงกะจะให้เสริฟนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นที่มาเที่ยวเมืองไทย ขณะที่เธอกำลังเสริฟอาหารและเครื่องดื่ม 2-3 แถว ก่อนที่จะถึงที่นั่งของผม ผมได้ยินเธอถามผู้โดยสารเป็นคำไทยสำเนียงญี่ปุ่นว่า “เอากาแฟไหมคะ“ ผมนึกในใจว่า trainer ของเธอ น่าจะจับเธอไปอบรมซะใหม่ เพราะคำว่า “เอา” ใช้ควบกับคำว่า “กาแฟ” ไม่ค่อยจะสุภาพนัก แต่พอเธอมาถึงผม เธอตัดคำหลังออก แล้วถามสั้นๆว่า “เอาไหมคะ” และเพื่อให้ภาษามีความสอดคล้องกลมกลืนกัน ผมก็เลยตอบเธอ ว่า “เอาครับ” แล้วก็ได้เอากาแฟอร่อยๆมากินหนึ่งแก้ว

ผมอยากจะสรุปว่า เมื่อมีการใช้ภาษา ก็ต้องมีการใช้ผิด ๆ ถูก ๆ ปนๆกันไปเป็นธรรมดา ซึ่งสำหรับผมแล้วถือเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่ง อีกครั้งนึง ผมไปฮานอย ถึงมื้อกลางวัน แวะเข้าร้านอาหารข้างทาง ทั้งร้านไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้แม้แต่คนเดียว ถามหาเมนูก็มีแต่ภาษาเวียดนาม ด้วยเหตุที่ผมเป็นคนกินยาก เลยไม่อยากสั่งอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า กะจะกินข้าวราดไข่เจียวเท่านั้นแหละครับ แต่คุณเอ๊ย เป็นมื้อข้าวไข่เจียวที่สั่งได้ยากทุรกันดารที่สุด เพราะยังไงๆพี่แกก็ไม่ยอมรู้เรื่อง แม้ว่าจะใช้ภาษามือ ขยับเป็นวงรอบ 360 องศาแล้วก็ตาม โชคดีครับ ผมเหลือบไปเห็นเมนูเก่าๆเล่มนึง วางอยู่บนโต๊ะใกล้ๆ หยิบมาดู อ๊ะ มีภาษาอังกฤษด้วย แต่ก็เป็นภาษาอังกฤษที่เขียนตามคำอ่านภาษาเวียดนาม โอ๊ย วันนี้จะได้กินมั้ยเนี่ยะ แต่เอ๊ะ มีคำว่า “boiled rice” ให้เห็น ผมพยายามที่จะสั่ง “steamed rice” เพราะอยากกินข้าวสวย ไม่ใช่ข้าวต้ม แต่ก็อีหรอบเดิม พูดยังไงๆก็ไม่รู้เรื่อง เลยนึกในใจว่า เอาวะ “boiled rice” ก็ได้วะ สักเดี๋ยวนึง เขาก็ยกอาหารมาเสริฟ ปรากฏว่าเป็นข้าวสวยครับ ไม่ใช่เป็นข้าวต้มอย่างที่คิด ผมไม่ได้นึกหงุดหงิดอะไรเลย เพราะอย่างน้อย ก็มีเรื่องเก็บมาเล่าให้เพื่อนที่บ้านฟังเล่น

มีอีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงว่าโดยทั่วไปแล้ว การเรียนภาษาเป็นเรื่องที่ ”ต้องลองผิดก่อนลองถูก” จะให้ทำถูกโดยไม่เคยทำผิด มันออกจะอัจฉริยะเกินไปหน่อย และถ้ากลัวเกินไป ไม่กล้าใช้ภาษาเพราะกลัวทำผิด ก็จะไม่มีวันได้ทำอะไร ไม่ว่าจะถูกหรือผิด มันออกจะเศร้าไปหน่อยนะชีวิตแบบนี้ มันคล้ายกับคำพูดที่ว่า “อกหักดีกว่ารักไม่เป็น“ เอ๊ะนี่มันคนละเรื่องเดียวกันหรือเปล่านะเนี่ยะ
หลายวันก่อนผมกลับไปเยี่ยมแม่ที่ต่างจังหวัด แม่ผมมีร้านขายของชำ มีพม่ามาเป็นลูกค้าอยู่หลายคน วันหนึ่ง มีพม่าคนหนึ่งมาซื้อน้ำตาลทราย พูดกันไม่รู้เรื่องครับ ต้องหากันอยู่นานทีเดียว กว่าจะเจอถุงน้ำตาลทรายที่มิสเตอร์หม่องแกต้องการ พอเจอปุ๊บ แม่ผมถึงกับโพล่งออกมาว่า “อ๋อ ไอ้นี่เอง“ วันหลัง มีพม่าอีกคนหนึ่ง มาซื้อของที่ร้าน แล้วก็พูดกันไม่รู้เรื่องอีก แต่ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ให้แม่ผมต้องเหนื่อยเหมือนอีหรอบเดิม มิสเตอร์หม่องคนแรกก็เดินเข้ามาในร้าน แล้วก็บังเอิญที่มิสเตอร์หม่องคนที่สองนี่ก็จะซื้อน้ำตาลทรายเหมือนกัน จากการสังเกตของแม่ผมและตามที่ได้ยินพม่าสองคนคุยกัน ทำให้รู้ว่า พม่าคนแรกสอนพม่าคนที่สองว่า ถ้าจะซื้อน้ำตาลทรายต้องบอกแม่ค้าว่า “อ๋อ ไอ้นี่เอง“ แม่ผมต้องเสียเวลาอีกพักใหญ่กว่าจะสร้างความเข้าใจกับลูกค้าต่างชาติ 2 คนนี้ ซึ่งก็ให้ความเพลิดเพลินแก่ทุกคน ก็อย่างที่ผมเคยว่าเอาไว้แล้วนั่นแหละครับ การเรียนภาษาเป็นเรื่องของความเพลิดเพลิน แล้วก็ไม่จำเป็นต้องกลัวหน้าแตกด้วย

ผมมีอีกตัวอย่างหนึ่ง ที่อยากยกมาคุยกันเล่นๆ เพื่อให้ท่านผู้อ่านเกิดกำลังใจในการฝึกภาษาอังกฤษ เมื่อกลางปีนี้ ผมร่วมเดินทางไปกับคณะของประเทศไทย นำเด็กเยาวชนไปแข่งขันฝีมือแรงงานนานาชาติที่ประเทศฟินแลนด์ แล้ววันหนึ่ง ผมได้เข้าประชุมผู้แทนจากประเทศสมาชิก ซึ่งมีประมาณ 40 ประเทศ คนพวกนี้มาจากทุกทวีป แต่ก็ใช้ภาษาอังกฤษกันคล่องแคล่วทุกคนแหละครับ มีอยู่ตอนหนึ่ง ผู้แทนคนหนึ่งจากประเทศแถบยุโรป เขาถามเกี่ยวกับเรื่อง “รื้อ“ บูธแข่งขัน เมื่อการแข่งขันเสร็จสิ้นแล้ว เขาใช้คำว่า “destroy“ ปรากฏว่า มีเสียงหัวเราะเบาๆพอให้ได้ยินไปทั่วห้อง แต่ไม่มีใครถือเป็นเรื่องน่าอับอายนะครับ และก็ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถนึกถึงคำว่า “dismantle” ได้โดยอัตโนมัติ ถ้าให้ครูสอนภาษาอังกฤษแก่แกรมมาร์ ไปนั่งฟังด้วย ก็จะพบว่าพูดผิดกันไม่น้อย แต่เขาก็สื่อสารกันได้ทุกเรื่อง และการแข่งขันก็จบลงได้อย่างประสบความสำเร็จ

คราวหนึ่ง มีเวียดนามคนหนึ่งมาติดต่อธุระที่สำนักงานที่ผมทำงานอยู่ เขาพูดภาษาอังกฤษดีผมจึงถามว่าเขาเรียนภาษาอังกฤษจากที่ไหน เขาบอกว่าเขาเรียนปริญญาตรีหลักสูตรภาษาอังกฤษที่ฮานอย แต่เขาก็ยังให้ความเห็นว่า "ฝ่าพายุง่ายกว่าเรียนภาษาอังกฤษ" ผมไม่เห็นด้วยตามที่เพื่อนเวียดนามคนนี้พูด ผมเชื่อตามที่คุณแอนดรู บิกส์พูดมากกว่า ว่า "ภาษาอังกฤษ ง่ายนิดเดียว" เพราะถ้าเราไม่ท้อ-ไม่ถอย-แต่เดินอยู่เรื่อย ทุกก้าวที่ค่อย ๆ เดินไปคือการถึงที่หมายทุกก้าว เพราะชีวิตคือการเดินทางไม่หยุดนิ่ง และที่หมายอยู่บนทุกก้าวที่เราก้าวไปอย่างพอใจ คุณเองก็เชื่อเช่นนี้ไม่ใช่หรือครับ

ผมอยากจะสรุปในย่อหน้าสุดท้ายนี้ว่า การเรียนภาษาอังกฤษ ซึ่งทุกท่านก็เห็นอยู่แล้วว่า ถ้าอ่านออก – เขียนได้ และฟังออก – พูดได้ จะมีประโยชน์มหาศาล ทั้งในแง่ความรู้, ความเพลิดเพลิน, ประโยชน์ต่ออาชีพของตัวเอง, ประโยชน์ที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ฯลฯ ก็เห็นกันอยู่แล้วว่า คุณค่ามันเยอะแยะ แต่ก็อาจจะท้อ - และถอย เพราะรู้สึกว่า มันยาก จนไม่อยากพยายาม ที่คิดเช่นนี้ก็ไม่ผิดความจริงหรอกครับ แต่ผมอยากจะบอกว่า พยายามสักนิดเถอะครับ เพราะว่าแม้ไม่รู้มากๆจนใช้ประโยชน์ได้มากๆ แต่ท่านก็สามารถรู้ทีละน้อย แล้วก็ใช้ประโยชน์จากเท่าที่รู้ทีละน้อยๆ นี่แหละครับ คล้ายกับท่านที่ยังว่ายน้ำไม่เป็น แล้วมาหัดว่ายน้ำ แม้พยายามแล้วพยายามอีก ท่านก็รู้ตัวว่าท่านไม่สามารถว่ายข้ามช่องแคบโดเวอร์ หรือไม่สามารถว่ายข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาได้ แต่ถ้าหากพยายามฝึกบ่อยๆ ไปสักระยะหนึ่ง อย่างน้อยที่สุด ท่านก็ต้องสามารถว่ายข้ามคลองเล็กๆ หน้าบ้านของท่านได้ หรืออย่างน้อยก็ว่ายไปว่ายมาในสระว่ายน้ำเล็กๆได้ พอให้ได้ความเพลิดเพลินอย่างยิ่ง แถมยังเป็นการออกกำลังกายที่แสนจะวิเศษอีกด้วยครับ

พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com

[29] ซื้อดิกพกติดตัวไว้สักเล่มก็ดีนะครับ

สวัสดีครับ
เมื่อพูดถึงการเปิดดิก หลายคนอาจรู้สึกคล้ายๆ ต้องไปโรงพยาบาล ถ้าไม่เจ็บป่วยก็ไม่เข้า ดิกก็เช่นกัน ถ้าไม่ติดศัพท์-ก็ไม่เปิดดิก ดิกกับโรงพยาบาลก็เลยไม่ต่างกัน คือ โรงพยาบาลที่ดีต้องรักษาได้ทุกโรค ดิกที่ดีต้องมีศัพท์ทุกคำที่เปิดค้น จึงมีขนาดหนาเตอะ และไม่ใช่สิ่งที่จะพกติดตัว เพราะหนักกระเป๋า

ผมกำลังจะเสนอว่า จริงๆแล้ว การคบดิกเป็นเพื่อนไว้ก็ไม่เสียหลาย เราน่าจะหาดิกพกติดกระเป๋าไว้สักเล่ม ขนาดไม่ใหญ่นัก และให้ดิกเป็นเพื่อนฝรั่งช่วยสอนภาษา ฆ่าเวลาขณะยืนหรือนั่งที่ป้ายรถเมล์ หรือรถโดยสาร รอเพื่อนในห้าง หรือที่ล็อบบี้โรงแรม หรือนั่งนานในห้องน้ำเพราะท้องผูก ฯลฯ โดยดิกดังกล่าวควรมีบุคลิกลักษณะดังต่อไปนี้
1. ไม่หนาและไม่หนักเกินไป เพราะเราจะขี้เกียจถือและเกะกะเนื้อที่ในกระเป๋าถือตอนพกพา
2. ไม่มีศัพท์มากเกินไป ให้มีแต่ศัพท์พื้นฐานที่ส่วนใหญ่ต้องพบเห็นในชีวิตประจำวัน เมื่อฟังข่าวหรืออ่านหนังสือพิมพ์ หรือเมื่อต้องหาศัพท์มาใช้เวลาพูดหรือเขียน พูดง่ายๆ ก็คือ เราสามารถจำศัพท์คำไหนก็ได้ในดิกเล่มนี้ และคุ้มค่ากับที่ลงทุนจำ เนื่องจากมีโอกาสบ่อยในการเอาไปใช้ ฟัง-อ่าน-พูด-เขียน ไม่ใช่ศัพท์เฉพาะทางที่เฉพาะบางคนเท่านั้นรู้เรื่อง เพราะฉะนั้น ไม่ต้องเล่มใหญ่นัก
3. มีตัวอย่างประโยคให้เราดู ประเด็นนี้สำคัญมาก สมมุติเราเปิดหาความหมายของคำว่า fat ซึ่งดิกแปลว่า “อ้วน,ใหญ่,มั่งคั่ง” ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจเวลาได้ยินคนพูด หรืออ่านพบคำว่า fat แต่ถ้าเราต้องเอาคำว่า fat ไปพูดหรือเขียน ประโยคตัวอย่างที่ดิกให้ไว้นี่แหละครับ จะช่วยเรา ยกตัวอย่าง
=อ้วน เช่น He was of average height, but was very fat. (เขาสูงพอๆ กับคนอื่นๆ แต่อ้วนมาก)
=ใหญ่ เช่น I have a fat nose. (จมูกฉันใหญ่)
=มั่งคั่ง เช่น If the company continues growing, I will be very fat in 2009. (ถ้าธุรกิจของบริษัทยังโตแบบนี้ไปเรื่อยๆ ในปี 2009 ผมรวยแน่)

ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดก็คือ ตัวอย่างที่เราอ่านเจอในดิก จะทำให้เราเห็นวิธีการแต่งประโยค ทำให้เราพอจะพูดหรือเขียนได้ถ้าถึงเวลาต้องใช้งาน ยิ่งถ้าเราฝึกอ่านออกเสียงประโยคนั้นๆ ก็จะยิ่งดีขึ้นไปอีก การอ่านออกเสียงให้ตนเองหรือให้เพื่อนใกล้ชิดได้ยิน ถือเป็นการซ้อมที่ดีก่อนสนทนากับคนต่างชาติจริงๆ

ผมรวบรวมดิกที่มีบุคลิกลักษณะทั้ง 3 ประการข้างต้นมาแนะนำไว้ข้างล่างนี้ (มิได้รับค่าโฆษณาใดๆ ทั้งสิ้นครับ) บางเล่มอาจจะหนานิดนึง แต่ก็พอจะพกไหว

ถ้ามีโอกาสแวะไปที่ร้านหนังสือ ลองเข้าไปพลิกๆ ดูหน่อยซิครับ เลือกซื้อได้ซักเล่มนึง แล้วพกติดตัวไว้เป็นประจำ พลิกอ่านบ่อยๆ ฆ่าเวลา เวลารอเพื่อน รอรถ ฯลฯ ไม่เท่าไรก็เก่งภาษาอังกฤษครับ

เล่มที่ 1 : P. SETHAPUTRA ENGLISH-THAI DICTIONARY of Contemporary Usage (พจนานุกรม อังกฤษ-ไทย พ. เสถบุตร เพื่อการใช้ภาษาร่วมสมัย)/โดย พ. เสถบุตร/ 1141 หน้า/เล่มใหญ่ 695 บาท, เล่มเล็ก 225 บาท

เล่มที่ 2 : DICTIONARY in ACTION ENGLISH-THAI BY EXAMPLE USAGE (3 in 1)/ โดย สำราญ คำยิ่ง/919 หน้า/160 บาท

เล่มที่ 3 : พจนานุกรมตัวอย่างประโยค/วลีภาษาอังกฤษ พร้อมคำแปล (ENGLISH BY EXAMPLE)/โดย วงศ์ วรรธนพิเชฐ/951 หน้า/445 บาท (มีเว็บให้ศึกษา/ฝึกหัด/ทดสอบ ที่นี่ครับ: http://www.dicthai.com/dt_test01.html )

เล่มที่ 4 : Oxford Wordpower Dictionary For Thai Learners ฉบับอังกฤษ-ไทย/สุไร พงษ์ทองเจริญ และคณะ ให้คำนิยามภาษาไทย พร้อมทั้งเพิ่มเติมคำแนะนำและข้อสังเกต/ 948 หน้า/395 บาท

เล่มที่ 5 : PASSPORT English-Thai Dictionary, English-Thai Learner’s Dictionary/ภาวิณี ธีรคุปต์ บรรณาธิการ/494 หน้า/198 บาท

เล่มที่ 6 : Oxford Basic English Dictionary พจนานุกรมเบื้องต้น อังกฤษ-ไทย/ศ.ทักษิณา สวนานนท์ แทรกคำอธิบายศัพท์เป็นภาษาไทย/328 หน้า/99 บาท

เล่มที่ 7 : ENGLISH-THAI DICTIONARY พจนานุกรมอังกฤษ-ไทย/โดย อาจารย์ธง วิทัยวัฒน์/515 หน้า/75 บาท

เล่มที่ 8 : English-Thai Dictionary For Student พจนานุกรมอังกฤษ-ไทย สำหรับนักเรียน/ โดย ปกรณ์ คุณสาระ/384 หน้า/75 บาท

ทั้ง 8 เล่มนี้ บางเล่มนอกจากมีประโยคตัวอย่างแล้ว ยังแปลตัวอย่างนั้นเป็นภาษาไทยอีกด้วย น่าสนใจมากครับ
พิพัฒน์

Thursday, January 11, 2007

[28] วิทยุ.. ทีวี.. เรียนภาษาฟรี มีทุกช่อง

สวัสดีครับ
ทีวีหลายช่องมีรายการสอนภาษาอังกฤษดีๆ ให้เราชม เนื้อหาของรายการมีประโยชน์ ไม่ซ้ำซาก และ Style การนำเสนอน่าสนใจ ชวนติดตาม เพราะคนจัดรายการต้องการดึงดูดทั้งคนชมและ Sponsor

ทางฝ่ายประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ ได้รวบรวมรายการทีวีของทุกช่องไว้ข้างล่างนี้ หลายรายการออกอากาศในช่วงเย็น บางท่านอาจต้องจัดการตัวเองเพื่อให้สามารถไปนั่งชมรายการดีๆ เหล่านี้ได้

XXX สถานีโทรทัศน์ ช่อง 3
English on Tour
จันทร์-ศุกร์ / 18.15 น. - 18.20 น.

หมู่บ้าน อิงลิชมินิช
จันทร์-ศุกร์ / 19.45 น. - 19.50 น.

XXX สถานีโทรทัศน์ ช่อง 7
1 Minute English
จันทร์-พุธ / 18.15 น. - 18.20 น.

XXX สถานีโทรทัศน์ ช่อง 9
ฟุตฟิตฟอไฟ
จันทร์-ศุกร์ / 17.55 น. - 18.00 น.

XXX สถานีโทรทัศน์ ช่อง 11
Morning Talk

จันทร์-ศุกร์ / 08.30 น. - 09.00 น.

Newsline
จันทร์-ศุกร์ / 21.30 น. - 22.00 น.

Thai-Aus Talk
อาทิตย์ / 08.00 น. - 08.30 น.

XXX สถานีโทรทัศน์ iTV
Morning Cartoon
ศุกร์ / 06.00 น. - 06.15 น.

XXX UBC ช่อง 81-95
Dltv (สถานีโทรทัศน์การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม)

ทุกวัน / ศึกษารายละเอียดตารางออกอากาศได้จาก http://www.dltv.th.org

XXX UBC ช่อง 96
เคเบิ้ลท้องถิ่นทั่วประเทศ

XXX ETV (สถานีโทรทัศน์เพื่อการศึกษา กศน.)
ทุกวัน / ศึกษารายละเอียดตารางออกอากาศได้จาก http://www.etvthai.tv/timetable_list.php

XXX รายการวิทยุเพื่อฝึกทักษะฟังข่าวภาษาอังกฤษ

สถานีวิทยุ
FM 88.0 คลื่นวิทยุแห่งประเทศไทย
FM 95.5 Vergin Hitz
FM 107.0 107 Metropolis
ทุกวัน
07.00 น. - 07.30 น.
19.00 น. - 19.30 น.
และทุกต้นชั่วโมง

สถานีวิทยุ
FM 92.0
สถานีวิทยุศึกษา กศน.
(ถ่ายทอดเสียงรายการจาก BBC กรุงลอนดอน)
ทุกวัน
06.30 น. - 07.00 น.
19.00 น. - 20.00 น.

*ข้อมูล ณ วันที่ 11 มกราคม 2550
InterelaDSD

Wednesday, January 10, 2007

[27] เล่นเกมคำศัพท์กับ Picture Dictionary

สวัสดีครับ
ที่เว็บนี้ http://www.pdictionary.com/ มีกิจกรรมช่วยเพิ่มคำศัพท์ เล่นสนุก ช่วยให้จำศัพท์ได้เร็ว และจำได้นาน

XX ที่คอลัมน์ซ้ายมือใต้คำว่า Activities มีกิจกรรมให้เราเล่นกับภาพเพื่อพัฒนาศัพท์ 5 กิจกรรม คือ
1.Flashcards: http://www.pdictionary.com/english/flashcards.php
เมื่อวางเมาส์บนภาพ จะมีศัพท์โชว์ขึ้นมา ฉะนั้นก่อนวางเมาส์ น่าจะเดาก่อนว่าภาพนี้ ศัพท์ภาษาอังกฤษว่าอย่างไร

2.Fill-in-the-blanks: http://www.pdictionary.com/english/fill-in-the-blank.php
ในแต่ละภาพ ให้เราเติมตัวอักษร 1 ตัว ที่หายไป เสร็จแล้วคลิกที่ Test Your Answers เพื่อตรวจคะแนน และคลิกที่ Show Correct Answers เพื่อดูเฉลย

3.Word Scramble: http://www.pdictionary.com/english/jumble.php
ท่านต้องเรียงตัวอักษรที่เขาให้ไว้ใต้ภาพ ให้เป็นคำศัพท์ที่ถูกต้อง

4.Stinky Spelling: http://www.pdictionary.com/english/stinky_spelling.php
เอาตัวอักษรที่เขาให้ไว้ ซึ่งมีผิดบ้างถูกบ้าง พิมพ์ลงไปให้ถูกต้อง

5.StraightRecall: http://www.pdictionary.com/english/straight_recall.php
พิมพ์คำที่สะกดถูกต้องลงไป ตามถาพที่โชว์

ที่ด้านล่างของทุกกิจกรรม ท่านสามารถคลิกเพื่อกำหนดลักษณะคำศัพท์ที่จะเล่น และคลิก “More……….” เพื่อเล่นเกมส์ใหม่

นอกจากกิจกรรมข้างต้นแล้ว เว็บนี้ยังมีอื่น ๆ ให้ดูอีก
XX ที่แถบบนตามขวาง ใต้คำว่า Browse by letter มีตัวอักษร a, b, c, d…… ถึง z ให้ท่านคลิกหาคำศัพท์ที่ต้องการ
XX คลิกแต่ละครั้ง จะแสดง 6 รูป( 6 ภาพ), ถ้าจะดูอีก 6 รูปถัดไป ก็คลิก next ไปเรื่อย ๆ
XX และท่านสามารถ พิมพ์คำศัพท์ที่ต้องการดูภาพลงไปใต้ช่อง search ที่คอลัมน์ซ้ายมือ (แล้วคลิก Go ! , ถ้า database ของเว็บไม่มีศัพท์ตัวนั้น เครื่องจะแสดงศัพท์อื่นที่เขียนใกล้เคียงกัน
InterelaDSD

[26] อ่าน “ภาพข่าว”

สวัสดีครับ
วันนี้ผมขอแนะนำเว็บ “ภาพข่าว” ครับ

ผมเลือกเว็บประเภทนี้มาแนะนำก็เพราะว่า ได้ทั้งอ่านข่าวและฝึกอ่านภาษาอังกฤษ ที่ไม่ยาวเกินไป ท่านสามารถอ่านจบก่อนเบื่อ นอกจากนี้ ภาพที่เห็นจะช่วยให้เราเดาคำศัพท์หรือสำนวนได้ง่ายขึ้น เรียกว่าได้ฝึกอ่านอย่างมี “ตัวช่วย

เว็บที่ 1: เลือกดูภาพ/อ่านข่าว ตามเดือน/วัน ที่ต้องการ (ข่าวไทย)
http://www.thaiphotoblogs.com/

เว็บที่ 2: ภาพข่าว หนังสือพิมพ์ Bangkok Post
http://www.bangkokpost.com/multimedia/photo 


เว็บที่ 3:
ภาพข่าวหนังสือพิมพ์ The Nation
http://www.nationmultimedia.com/specials/nationphoto/


เว็บที่ 4 : Photos and Slideshows on Yahoo News
http://news.yahoo.com/photos




เว็บที่ 5: เว็บของสำนักข่าว BBC 
เขาให้เราอ่านข่าวสั้น ๆ พร้อมมีภาพถ่ายเป็นชุดให้ดู (ดูแล้วคลิก next ไปเรื่อย ๆ ) มีสารพัดเรื่องทีเดียว น่าสนใจมากครับ นอกจากมีภาพแล้ว ยังมี Audio Slideshows อีกด้วย

เว็บที่ 6: ของนิตยสาร Time เป็นภาพชุด พร้อมเนื้อข่าวสั้น ๆ ให้เราอ่าน น่าสนใจมาก ๆ อีกเช่นกัน การอ่านข่าวประกอบภาพสีนี้ ไม่แห้งแล้งเหมือนอ่านเนื้อข่าวเพียงอย่างเดียว (เว็บนี้อาจใช้เวลาดาวน์โหลดนานหน่อย)
http://www.time.com/time/photoessays/

เว็บที่ 7: Multimedia & Photos – New York Times
ส่วนใหญ่เป็นภาพ/เรื่อง/audio ของสหรัฐฯ แต่หลายเรื่องก็น่าสนใจสำหรับคนไทย
http://www.nytimes.com/pages/multimedia/

เว็บที่ 8: a photo a day
http://www.aphotoaday.org/

พิพัฒน์

 

Tuesday, January 9, 2007

[25] ฟิตอังกฤษ… ฟิตอย่างไร?

สวัสดีครับ
ถ้าเราไม่มีโอกาสไปเรียนหรืออยู่เมืองนอก ไม่มีสามีหรือภรรยาเป็นฝรั่ง ไม่มีงานที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นประจำ ไม่มีเวลาว่างเกินวันละชั่วโมง สมัยเรียนหนังสือก็ไม่ได้เลือกภาษาอังกฤษเป็นวิชาเอก และชาติก่อนก็ไม่ได้เกิดเป็นฝรั่ง เราจะฟิตภาษาอังกฤษอย่างไรดี

ผมใคร่ขอเสนอความคิดเห็น จากประสบการณ์ของตัวเอง ดังนี้ครับ.....

1. บอกใจให้รักภาษาอังกฤษ ถ้าเรารักเราจะเรียนรู้ได้เร็ว จำได้นาน และมีความสุขเมื่อได้อยู่ใกล้คนรัก (คือภาษาอังกฤษ) คุณที่อายุพ้นวัยรุ่นคงพบว่า คุณจำเพลงสมัยก่อนที่เดี๋ยวนี้คนเอามาร้องใหม่ได้หลายต่อหลายเพลง เพียงแค่เขาขึ้นต้นคุณก็ร้องต่อได้แล้ว ทำไมคุณจำได้? คุณจำได้เพราะว่า คุณรักและมีความสุขที่ได้ร้องเพลงนั้น แต่เพลงที่คุณไม่ชอบ คุณไม่อยากจำและก็จำไม่ได้ ผมว่าภาษาอังกฤษก็เช่นเดียวกัน เราคงต้องรักมัน และต้องหาให้พบแง่งามของความรัก ภาษาอังกฤษมีหลายแง่ เราก็หาสักแง่หนึ่งที่เราสามารถรักมันได้เช่น ศึกษาไว้ดูหนัง ฟังเพลง ฟังข่าว คุยกับฝรั่ง อ่านเรื่องราวแปลก ๆ หรือเอาไว้สอบกรมวิเทศฯ ชิงทุนไปอบรมเมืองนอกก็ได้ครับ

2. มีเวลาให้กับเขาบ้าง ตอนผมเริ่มเรียนปี 1 ผมบอกตัวเองว่าก่อนขึ้นปี 2 เอ็งจะต้องอ่าน Bangkok Post ให้รู้เรื่องเหมือนอ่านไทยรัฐ ฉะนั้น (แทบ) ทุกวัน เมื่อกลับถึงบ้านผมจะนั่งที่โต๊ะอ่านหนังสือ เอาเชือกผูกเอวตัวเองไว้กับพนักเก้าอี้ และอ่านให้จบอย่างน้อย 1 หน้าก่อนลุกไปไหน ถ้าจะลุกก่อนจบก็เอาเก้าอี้ไปด้วย ทำอย่างนี้จนเรียนจบปี 1 ผลปรากฏว่าก็ยังไม่สามารถบันดาลให้ Bangkok Post กลายเป็นไทยรัฐไปได้ แต่… มันอ่านรู้เรื่องขึ้นเยอะครับ เพราะก่อนหน้านี้ Bangkok Post สำหรับผมมันยากพอ ๆ กับหนังสือพิมพ์ซิงเสียนเยอะเป้า ยังไง ยังงั้นเลยครับ

3. ฝึกฟัง-พูด-อ่าน-เขียนไปพร้อม ๆ กัน จากน้อยไปมาก ง่ายไปยาก
ฟัง : ก็ดูหนังฝรั่งหรือฟังเสียงในฟิล์ม ฟังข่าววิทยุประเทศไทยภาคภาษาอังกฤษ ฟังเทป ฟังเพลงเอาเนื้อ (ไม่ใช่เอาซึ้งหรือเอามันอย่างเดียว) ดูวีดีโอสอนภาษาอังกฤษ ฟังข่าวภาษาอังกฤษจากเน็ต ถ้าใครรับเคเบิ้ลทีวีที่บ้านก็ยิ่งมีโอกาสฝึกมาก
พูด : อาจจะต้องไปเรียนคอร์สสนทนาภาษาอังกฤษเป็นครั้งคราวตามโรงเรียนสอนภาษาต่างๆ ตามปกติ 1 คอร์สจะประมาณ 30 ชั่วโมง ค่าเรียน 3,000 กว่าบาท ถ้าใครบ้านอยู่แถวถนนข้าวสาร บางลำพู สุขุมวิท หรือย่านที่ฝรั่งอยู่กันเยอะๆ ลองจงใจเดินไปหาเรื่องทักทายพูดคุยกับฝรั่งก็จะมีประโยชน์ไม่น้อย ไม่เข้าถ้ำเสือหรือจะได้ลูกเสือ อีกอย่างหนึ่งลองหาภาษาอังกฤษง่ายๆ อ่านอัดเทป แล้วเปิดให้เพื่อนที่สนิทฟัง ถ้าเพื่อนหัวเราะเอ๊กอ๊ากและชมเราว่าพูดภาษาเขมรได้ดีมาก ก็ควรเพิ่งผลีผลามดีใจนะครับ
อ่าน : ผมขอแนะนำอย่างนี้ครับ หนังสือ reading อ่านนอกเวลา สมัยเราอยู่ชั้นมัธยมนั่นแหละครับ ลองเอามาอ่านอีกครั้ง หรือจะอ่านหนังสือพิมพ์ง่ายๆ เช่น Student Weekly หรือ หาอ่านจากเน็ตก็มีให้เลือกเยอะแยะ ถ้าอินทรีย์แก่กล้าก็ขยับขึ้นไปอ่าน Bangkok Post หรือ The Nation ข้อที่ขอบอกก็คือ ถ้าอ่านน้อยเกินไปจะไม่ได้อะไร ถ้าอ่านมากเกินไปจะขยันอยู่ได้ไม่กี่วัน ถ้าอ่านที่ง่ายเกินไปจะไม่ได้พัฒนาตัวเองเท่าที่ควร ถ้าอ่านที่ยากเกินไปจะรู้สึกเบื่อ และท้อ และถอย ต้องหาจุดพอดีเอาเองครับ
เขียน : ถ้าไม่มีผู้รู้หรือฝรั่งคอยตรวจสิ่งที่เราเขียน อาจต้องใช้วิธีหาคู่มือการเขียนภาษาอังกฤษที่มีแบบฝึกหัดและเฉลยพร้อมเสร็จมาศึกษาด้วยตัวเอง ถ้ามีเวลาจะไปเรียนคอร์ส writing ที่โรงเรียนสอนภาษาก็ดีครับผมอยาก

พูดอย่างนี้ครับว่า ถ้าคุณต้องการพูดเก่ง :
X คุณต้องฟังมากๆ แล้วคุณจะพูดได้ง่ายขึ้น เพราะการเรียนพูดคือการจำขี้ปากทั้งการออกเสียง และการใช้ถ้อยคำสำนวน
X คุณต้องอ่านมากๆ จะทำให้คุณรู้ศัพท์เยอะ และพูดได้หลายๆ เรื่อง รวมทั้งเรียนรู้การแต่งประโยคไปในตัว ไม่ใช่แค่ Yes, No, Hello, O.K.
X คุณต้องหัดเขียนบ้าง ถ้าปากกาของคุณผลิตถ้อยคำลงบนกระดาษได้ ก็จะเป็นการวอร์อมอัพให้ปากของคุณผลิตคำพูดออกมาเป็นเสียงได้เช่นกัน

สรุปได้ว่า ทักษะทั้ง 4 นี้ จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน คุณควรฝึกไปพร้อมๆ กัน แม้ปริมาณหรือเวลาของการฝึกแต่ละทักษะจะไม่เท่ากันก็ตาม ฝึกจากน้อยไปมาก จากง่ายไปยาก จากเรื่องที่สนใจไปสู่เรื่องที่ถูกสั่งให้สนใจ

4. ท่องศัพท์ก็ต้องมีเทคนิค ถึงตอนนี้โตแล้ว พ้นวัยท่องศัพท์แล้ว แต่ผมคิดว่าถ้าเรายังรู้ศัพท์น้อยเกินไป เราก็ควรจะท่องบ้าง การวิจัยแห่งหนึ่งระบุว่า 95% ของคำศัพท์ที่ฝรั่งใช้ วนเวียนอยู่ในแวดวงไม่เกิน 14,700 คำ ปัญหาก็คือจะท่องอย่างไร จึงจะจำได้ไว และจำได้นานผมกำลังจะบอกว่าการท่องแบบอัดเทป เช่น book-หนังสือ, cat-แมว,dog-หมา และอีกเป็นสิบเป็นร้อยคำทำนองนี้ เป็นวิธีการท่องที่จำได้ช้าที่สุด และลืมได้เร็วที่สุด เพราะเป็นวิธีจำที่ดิบและน่าเบื่อเกินไป

ก่อนอื่นคุณควรจะมีสมุดจดศัพท์ที่สวยๆ และดูภูมิฐานสัก 1 เล่ม เพราะจะกระตุ้นให้คุณเห็นความสำคัญของการท่องศัพท์ คุณก็รู้ เพชรน้ำดีควรคู่กับแหวนทองคำ ไม่ใช่แหวนทองเหลือง หรือแหวนพลาสติก

ผมขอเสนอแนะวิธีการท่องสัก 2 วิธี
วิธีที่ 1 เป็นการท่องแบบคล้องจอง ผมเข้าใจว่าท่านแรกที่เสนอเทคนิคนี้ คือ อาจารย์พฤกษะศรี แห่งชมรมภาษาอังกฤษ ประเทศไทย โดยหาคำศัพท์และคำแปลภาษาอังกฤษและภาษาไทยมาผูกโยงและท่องให้คล้องจองกัน ทำให้จำง่าย เช่นSon (ซัน) บุตรชายขาย Sell (เซ็ล)Tell (เท็ล) บอกออก out (เอาท์)ลองไปหาหนังสือของท่านมาท่อง ท่านแต่งไว้จากง่ายไปยาก มีประโยชน์มากครับ ตอนทบทวนทีหลังก็ให้ปิดคอลัมน์ขวามือ แล้วนึกให้ได้ว่าศัพท์ด้านซ้ายมือตรงกับคำว่าอะไร เนื่องจากมีลักษณะคล้องจอง จึงเท่ากับบอกใบ้ให้เราเดา ถ้าทวนบ่อยๆ จะจำได้ง่ายและจำได้นาน ผมขอแนะนำอย่างรุนแรงให้คุณไปซื้อหนังสือ”ศัพท์คำพ้อง อังกฤษ-ไทย” ของ อ.พฤกษะศรี มาอ่าน –ท่อง-ทบทวน ครับ

วิธีที่ 2 เป็นวิธีที่ผมใช้เอง ทำง่าย ๆ ดังนี้ครับ ในสมุดจดศัพท์ของคุณ แต่ละหน้าให้คุณตีเส้นเป็น 5 คอลัมน์ ดังนี้ ครับ
คอลัมน์ที่ 1- คือ ลำดับที่ของคำศัพท์
คอลัมน์ที่ 2 - คำอ่าน เช่น ดิพาท
คอลัมน์ที่ 3 - คำศัพท์ เช่น depart
คอลัมน์ที่ 4 - ประโยคตัวอย่าง เช่น I said good-bye and departed.
คอลัมน์ที่ 5 - ความหมายของคำศัพท์ เช่น จากไป, ออกจาก

สิ่งสำคัญที่สุดคือ เมื่อคุณท่องศัพท์และกลับมาทบทวนในคราวหลัง ให้คุณหากระดาษปิดและเปิดคอลัมน์มาทางขวาทีละคอลัมน์ หลังจากที่เดาแล้ว เช่น ตามตัวอย่าง ศัพท์คำที่ 1 “ดิพาท” คุณเห็นแล้วให้ออกเสียง แล้วนึกว่ามันเขียนว่าอย่างไร สะกดออกมาดังๆ หรือเขียนลงบนกระดาษก็ได้ แล้วเปิดดูว่าสะกดถูกไหม แล้วนึกต่อไปว่าคำนี้หมายความว่าอย่างไร ถ้านึกไม่ออกก็ลองเปิดอ่านประโยคตัวอย่าง แล้วลองเดาอีกครั้งว่าศัพท์คำนี้แปลว่าอะไรถึงขั้นนี้ถ้ายังนึกความหมายไม่ออก ก็เปิดดูความหมายภาษาไทยในคอลัมน์สุดท้าย

ด้วยวิธีเช่นนี้ จะช่วยให้คุณได้ฝึก
1. การออกเสียง
2. การสะกดคำ
3. การเดาความหมายจากประโยค และ
4. ได้เห็นการใช้คำศัพท์นี้ในการแต่งประโยคซึ่งคุณสามารถจำเอาไปแต่งเองได้คุณอาจจะถามว่าประโยคตัวอย่างเหล่านี้เอามาจากไหน ตอบได้ว่า1. คุณอาจจะลอกมาจากเรื่องที่คุณอ่าน และ2. จากดิกชันนารี อังกฤษ-อังกฤษ ที่ผมแนะนำไปแล้วเมื่อวันก่อน ที่ลิงค์นี้ครับhttp://intereladsd2.blogspot.com/2007/01/17.html

คุณเหนื่อยหรือยังครับ การเตรียมคำศัพท์เพื่อ จด-ท่อง-ทบทวน เช่นนี้ ต้องอาศัยความตั้งใจมาก ผมแนะนำว่าควรทำไม่เกินวันละ 3-5 คำ ถ้าคุณโหมมากในตอนแรก คุณจะหักในตอนหลัง เพราะฉะนั้นอย่าหักโหม ผมเป็นห่วงครับ

5. ฝึกออกเสียงศัพท์แต่ละตัวให้ถูกต้องที่สุด เท่าที่จะทำได้ และอย่างมั่นใจ แม้เป็นการยากมากๆ หรือเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะออกเสียงได้เหมือนเจ้าของภาษา แต่เราควรพยายามฝึกให้สามารถออกเสียงให้เขาฟังเราพูดรู้เรื่อง ประเด็นของผมก็คือ ถ้าเราไม่มั่นใจในการออกเสียง เรามีแนวโน้มที่จะไม่ใช้ศัพท์ตัวนั้นในการพูดจา และเรามักจะจำศัพท์ตัวนั้นไม่ค่อยได้ ส่วนเทคนิคในการออกเสียงคำศัพท์ให้ถูกนั้น คำแนะนำจากผู้รู้และกาฝึกฝนต่อเอาเองเป็นเรื่องจำเป็นครับ

ผมอยากจะจบท้ายว่า ถ้าเรารักภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษจะรักเรา แต่ถ้าเราไม่รักมัน มันก็คงไม่รักเรา แต่จะไปรักคนอื่นที่รักมัน คำพูดเช่นนี้อาจดูเว่อไปสักเล็กน้อย แต่ก็เป็นความจริงแท้แน่นอนครับ

พิพัฒน์

pptstn@yahoo.com