สวัสดีครับ
วันนี้นำข่าว ขอทานตาบอดปลอมภาษาไทยจากเว็บผู้จัดการ และภาษาอังกฤษจากเว็บ Bangkok Post มาให้ท่านอ่านเล่น ๆ ท่านจะอ่านภาษาใดก่อนก็ได้ครับ
2)พิมพ์ข้อความที่ต้องการค้น (keys words)ลงไป ในช่อง all these words: เช่นตอนนี้ผมจะพิมพ์คำว่า how to remember vocabulary
3)ตรงช่อง Reading level: ให้คลิกเลือก show only basic results
4)คลิก Advanced Search
5) Google จะแสดงเรื่องที่ท่านต้องการ โดยแสดงเรื่องที่ใช้ภาษาอังกฤษง่ายที่สุด (basic) ก่อน และตามเรื่องที่ยากขึ้นไป คือ intermediate และ Advanced ให้ท่านคลิก
ในกรณีที่หน้า Google Advanced Search แสดงแต่ภาษาไทย ไม่ยอมแสดงภาษาอังกฤษ และไม่มีบรรทัด Reading level:ให้คลิก
ให้แก้ไขดังนี้
ที่ Menu bar ไปที่
-Tools – Internet options – Languages – Add – English[en]
-(หรืออาจจะต้องคลิกที่ Thai – และคลิก Remove ด้วย)
-คลิก OK – OK
ด้วยวิธีนี้แหละครับ ท่านก็จะได้อ่านภาษาอังกฤษที่ง่าย ๆ
ตอนนี้ก็ลองอ่านเรื่อง ขอทานตาบอดปลอม ได้เลยครับ
พิพัฒน์
ขอทานตาบอดปลอม ทะเลาะกับเมียในบังกะโลหลังตกลงส่วนแบ่งกันไม่ได้ จนความแตก
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 กุมภาพันธ์ 2555 17:05 น.
ศูนย์ข่าวศรีราชา - ขอทานตาบอดปลอมทำทีให้ภรรยาเดินจูงขอทานตามร้านอาหารจนมีรายได้เฉลี่ยวันละหลายพันบาท สุดท้ายตกลงส่วนแบ่งกันไม่ได้ก่อเหตุทะเลาะวิวาทในบังกะโลเขตตำบลแหลมฉบัง จนเจ้าหน้าที่ต้องเข้าระงับเหตุ ตำรวจเผยหากมีผู้เข้าแจ้งความร้องทุกข์สามารถดำเนินคดีได้
ร.ต.ท.รุ่งโรจน์ ช้างเศวก ร้อยเวรสถานีตำรวจภูธรแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ได้รับแจ้งจากพนักงานบังกะโลอิงแลนด์ ริมถนนสุขุมวิทฝั่งขาเข้าพัทยา ใกล้สี่แยกอ่าวอุดม ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ 1 ตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรีว่า มีเหตุทะเลาะวิวาทภายในบังกะโล หลังรับแจ้งจึงนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบ พบนายหน สมเพชร อายุ 43 ปี และนางเต็ม ชลรัมย์ อายุ 48 ปี สองสามีภรรยากำลังทะเลาะตบตีกันอยู่ภายในห้องพัก จึงเข้าระงับเหตุและนำควบคุมตัวไปสงบสติอารมณ์ที่สถานีตำรวจภูธรแหลมฉบัง
ทั้งนี้ จากการสอบสวนพบว่าทั้งสองมีพฤติกรรมต้มตุ๋นหลอกลวงชาวบ้าน ด้วยการที่สามีทำทีเป็นคนขอทานตาบอด และให้ภรรยาจูงเดินขอเงินตามร้านอาหารในพื้นที่แหลมฉบัง
โดยนายหนผู้เป็นสามีสารภาพว่า เมื่อ 2-3 ปีก่อนตนเคยรับจ้างจูงคนตาบอดเดินขอทานตามร้านอาหารในกรุงเทพฯ จึงเห็นว่าการเดินขอทานมีรายได้ดี จึงทำทีเป็นคนตาบอดออกเดินขอทานเอง นอกจากนั้น ยังฝึกร้องเพลงคาราโอเกะจนคล่องเพื่อทำทีเป็นคนตาบอดเดินร้องเพลงขอทานตามร้านอาหารในพื้นที่แหลมฉบัง และให้นางเต็ม ภรรยาเดินจูงมือถือแก้วเดินขอทาน ทำให้มีรายได้เฉลี่ยวันละ 3,000-4,000 บาท
โดยเมื่อได้เงินแล้วก็จะกลับมานอนในบังกะโลติดแอร์ แต่ตนเป็นคนชอบเล่นการพนันและมักออกเที่ยวเตร่ตามห้องอาหาร ทำให้เงินที่ได้ไม่พอใช้จ่าย และเมื่อเงินใกล้หมดก็จะทำทีเป็นคนตาบอดเดินร้องเพลงขอทานจนกระทั่งเกิดปัญหาเรื่องแบ่งเงินขอทานกับนางเต็ม ไม่ลงตัว จึงเกิดการทะเลาะตบตีกันขึ้น
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เปรียบเทียบปรับทั้งสองในข้อหาทะเลาะวิวาทก่อนปล่อยตัวไป ส่วนข้อหาหลอกลวงต้องรอให้มีเจ้าทุกข์เข้าแจ้งความก่อนจึงจะดำเนินคดีกับคนทั้งสองได้
ทั้งนี้ ตำรวจแหลมฉบังพร้อมจะดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกงกับขอทานปลอมหากมีผู้เสียหายเข้าร้องเรียน แต่เชื่อว่าน่าจะไม่มีคนเข้าแจ้งความ อย่างไรก็ดีจะติดตามสอดส่องขอทานปลอมในพื้นที่หากพบเป็นการต้มตุ๋นหลอกลวง ก็จะต้องข้อหา ฉ้อโกง ถือเป็นคดีอาญาที่ยอมความไม่ได้
พ.ต.อ.ศักดิ์รพี เพียวพาณิช ผกก.สภ.แหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี กล่าวว่า ขอทานคู่นี้ มีพฤติกรรมฉ้อโกง ต้มตุ๋นประชาชน ซึ่งจะปล่อยให้เข้ามาขอทานในพื้นที่อีกไม่ได้ โดยในส่วนของการดำเนินคดี จะต้องมีคนมาร้องทุกข์แจ้งความว่าถูกฉ้อโกงเงิน จึงจะดำเนินคดีได้ โดย สภ.แหลมฉบัง ได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจออกสอดส่องและติดตามพฤติกรรมของแก๊งขอทานปลอม ซึ่งหากพบก็จะควบคุมตัวมาดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกงประชาชน
ร.ต.ท.รุ่งโรจน์ ช้างเศวก ร้อยเวรสถานีตำรวจภูธรแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ได้รับแจ้งจากพนักงานบังกะโลอิงแลนด์ ริมถนนสุขุมวิทฝั่งขาเข้าพัทยา ใกล้สี่แยกอ่าวอุดม ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ 1 ตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรีว่า มีเหตุทะเลาะวิวาทภายในบังกะโล หลังรับแจ้งจึงนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบ พบนายหน สมเพชร อายุ 43 ปี และนางเต็ม ชลรัมย์ อายุ 48 ปี สองสามีภรรยากำลังทะเลาะตบตีกันอยู่ภายในห้องพัก จึงเข้าระงับเหตุและนำควบคุมตัวไปสงบสติอารมณ์ที่สถานีตำรวจภูธรแหลมฉบัง
ทั้งนี้ จากการสอบสวนพบว่าทั้งสองมีพฤติกรรมต้มตุ๋นหลอกลวงชาวบ้าน ด้วยการที่สามีทำทีเป็นคนขอทานตาบอด และให้ภรรยาจูงเดินขอเงินตามร้านอาหารในพื้นที่แหลมฉบัง
โดยนายหนผู้เป็นสามีสารภาพว่า เมื่อ 2-3 ปีก่อนตนเคยรับจ้างจูงคนตาบอดเดินขอทานตามร้านอาหารในกรุงเทพฯ จึงเห็นว่าการเดินขอทานมีรายได้ดี จึงทำทีเป็นคนตาบอดออกเดินขอทานเอง นอกจากนั้น ยังฝึกร้องเพลงคาราโอเกะจนคล่องเพื่อทำทีเป็นคนตาบอดเดินร้องเพลงขอทานตามร้านอาหารในพื้นที่แหลมฉบัง และให้นางเต็ม ภรรยาเดินจูงมือถือแก้วเดินขอทาน ทำให้มีรายได้เฉลี่ยวันละ 3,000-4,000 บาท
โดยเมื่อได้เงินแล้วก็จะกลับมานอนในบังกะโลติดแอร์ แต่ตนเป็นคนชอบเล่นการพนันและมักออกเที่ยวเตร่ตามห้องอาหาร ทำให้เงินที่ได้ไม่พอใช้จ่าย และเมื่อเงินใกล้หมดก็จะทำทีเป็นคนตาบอดเดินร้องเพลงขอทานจนกระทั่งเกิดปัญหาเรื่องแบ่งเงินขอทานกับนางเต็ม ไม่ลงตัว จึงเกิดการทะเลาะตบตีกันขึ้น
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เปรียบเทียบปรับทั้งสองในข้อหาทะเลาะวิวาทก่อนปล่อยตัวไป ส่วนข้อหาหลอกลวงต้องรอให้มีเจ้าทุกข์เข้าแจ้งความก่อนจึงจะดำเนินคดีกับคนทั้งสองได้
ทั้งนี้ ตำรวจแหลมฉบังพร้อมจะดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกงกับขอทานปลอมหากมีผู้เสียหายเข้าร้องเรียน แต่เชื่อว่าน่าจะไม่มีคนเข้าแจ้งความ อย่างไรก็ดีจะติดตามสอดส่องขอทานปลอมในพื้นที่หากพบเป็นการต้มตุ๋นหลอกลวง ก็จะต้องข้อหา ฉ้อโกง ถือเป็นคดีอาญาที่ยอมความไม่ได้
พ.ต.อ.ศักดิ์รพี เพียวพาณิช ผกก.สภ.แหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี กล่าวว่า ขอทานคู่นี้ มีพฤติกรรมฉ้อโกง ต้มตุ๋นประชาชน ซึ่งจะปล่อยให้เข้ามาขอทานในพื้นที่อีกไม่ได้ โดยในส่วนของการดำเนินคดี จะต้องมีคนมาร้องทุกข์แจ้งความว่าถูกฉ้อโกงเงิน จึงจะดำเนินคดีได้ โดย สภ.แหลมฉบัง ได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจออกสอดส่องและติดตามพฤติกรรมของแก๊งขอทานปลอม ซึ่งหากพบก็จะควบคุมตัวมาดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกงประชาชน
Blind to the business of begging
There was an interesting piece of news last week that really impressed me about the cleverness of the guy in the story. The man was earning over 100,000 baht a month from begging _ far higher than the government's proposed 15,000 baht monthly salary for a new university graduate holding a bachelor's degree.
With his wife acting as the guide, the man put on a pair of dark glasses and feigned blindness. The couple popped in and out of restaurants in Chon Buri, collecting change from the compassionate and earning 3-4,000 baht a day. Their game unravelled only after the couple had an argument. The wife grumbled about the husband's "big spending" at their rented air-conditioned bungalow, and a fight ensued. Police were called in to investigate the disturbance.
With his wife acting as the guide, the man put on a pair of dark glasses and feigned blindness. The couple popped in and out of restaurants in Chon Buri, collecting change from the compassionate and earning 3-4,000 baht a day. Their game unravelled only after the couple had an argument. The wife grumbled about the husband's "big spending" at their rented air-conditioned bungalow, and a fight ensued. Police were called in to investigate the disturbance.
Before setting up his own begging business, the man used to lead other (really) blind people in singing for money at restaurants in Bangkok. When he realised how much money could be earned this way, he went his separate way and launched his own enterprise, with the wife acting as a guide escorting him.
This is not a new phenomenon; we have often heard about fake beggars or beggars who have saved astonishing amounts of money.
Bit this is just the income earned by a single couple, or we can say a small entrepreneur. If we extrapolate the income from the numerous begging gangs, I believe the amount would be a hundred times more.
A report by the Mirror Foundation indicated that begging gangs use babies or children up to seven years old, the disabled or the elderly, as tools to draw sympathy, and thereby earn as much as 10,000 baht a month. One unattractive consequence of attractive earnings from begging is that it leads to human trafficking, child kidnapping and/or violation of children and their rights.
What is the reason for this problem? Should we blame the Thai people for being generous and kind, which in turn has intensified the problem of begging in our country? There have been reports that good earnings have led begging gangs in Cambodia to send their members across the border to work here.
Besides begging, there are other ways of getting generous people to part with their money. A friend of mine once saw a man standing at a BTS station looking dazed and with blood apparently seeping through his trousers. Several people approached, and he told them he'd been injured but did not have the money to return to his home in the rural countryside. Some people gave him hundreds of baht even without being asked. Later, this very same fellow was spotted faking the same routine at other BTS stations.
Who should we complain to, as generous people were willing to hand him their money? Whose fault is it? Earning money through people's gullibility may not seem as worrisome as being threatened by a thief who's after your wallet.
While I was relaxing at home one day, a group of four people rang the door bell and asked me to come outside. Their leader asked for a donation so as to purchase coffins for those who'd died without any relatives to help with the funeral expenses. I'd heard about this before and had been warned by one such foundation that they never sent volunteers or staff to knock on people's doors for donations.
There are different thoughts on this issue. A friend told me that child beggars are usually forced by "mafia gangs" to beg. My friend said he was willing to give money to children because his little donation might possibly save the child from punishment when short of the required target. I, on the contrary, view that handing money to child beggars only helps to promote human trafficking.
People may think differently. There is no right or wrong, but I would like to urge concerned government agencies to solve at least one problem regarding child beggars. Is it possible for the agencies to round up child beggars from the streets, the flyovers and restaurants without returning them to those who falsely claim to be their parents? These children could be adopted by new families or sent to home shelters, giving them an opportunity to receive an education. Though we wouldn't be solving all the problems connected with begging, we might at least be able to help bring about a better future for some of these children.Somporn Thapanachai is Deputy Business Editor, Bangkok Post.
No comments:
Post a Comment